ในวันนี้ภายใต้ฟ้าเมืองไทยคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ (Supremo)แห่งกองทัพ, คสช. และคณะรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นเจ้าของกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นั้นช่างยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม แถมยังมีช่วงจังหวะและชั้นเชิงทางการเมืองระดับเซียนทีเดียว
ที่ผ่านมาพลเอกประวิตร สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างแนบเนียน ไม่กระโตกกระตากแต่รุกคืบอย่างมั่นคง แม้ผู้สื่อข่าวจะซักจะถามอะไรก็มีลีลาฉากออก หลบหลีก หลีกเลี่ยง ได้อย่างชนิดที่ไม่มีใครรุกไล่ต้อนได้ ด้วยวลีแห่งปีที่ว่า “ไม่รู้ไม่ทราบ ไม่เกี่ยว ไม่มีอะไร” แถมยังไม่อวดรู้อวดตัวไม่ก้าวร้าว อีกด้วย
นับวัน บารมี อิทธิพล และอำนาจ ของพลเอกประวิตร จึงเบ่งบาน และกระชับยิ่งขึ้น จนบัดนี้จัดได้ว่าในภาพรวมแล้ว พลเอกประวิตรนี่แหละคือผู้กุมอำนาจตัวจริงของบ้านเมืองไทยยุคทหารเป็นใหญ่
พลเอกประวิตร คุมกองทัพทหาร และกองทัพตำรวจอย่างอยู่หมัด อีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังได้ส่งบุคลากรในสังกัด ให้ไปกระจัดกระจายอยู่ในหน่วยงานรัฐและองค์กรอิสระต่างๆ อีกด้วย เรียกได้ว่า ถ้าใครจะได้ขึ้นตำแหน่งอะไรได้ ก็จะต้องผ่านการเห็นชอบ หรือการสนับสนุนจากพลเอกประวิตรเสียก่อนเท่านั้น
และวันนี้ พลเอกประวิตร ก็ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เท่ากับว่าพลเอกประวิตร คุมทั้งกำลังทหารและพลเรือน ด้วยอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ส่งผลให้ พลเอกประวิตรนั้นมีความโดดเด่น และประสบความสำเร็จมากกว่ารุ่นพี่ๆ จากแวดวงกองทัพที่เข้าสู่สนามการเมือง ไม่ว่าจะเป็นจอมพลแปลก พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร หรือพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกสุจินดา คราประยูร และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในแง่ที่ว่า ทั้งหมดต่างสามารถคุมกองทัพได้ แล้วก็มาตั้งพรรคการเมือง เพื่อที่จะคุมทั้ง 2 ภาค เพื่อเสริมสร้างฐานการเมืองให้แน่นแฟ้น แล้วต่างก็ล้มเหลวไปตามๆ กัน แต่พลเอกประวิตร ดูมีทีท่าว่าจะมีความมั่นคงและยั่งยืนกว่าด้วยว่า
1) คุมกองทัพได้
2) คุมกลุ่มการเมืองได้
3) มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกำบัง เป็นฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม
4) เจาะและบั่นทอนพลังกลุ่มฝ่ายค้าน
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ฐานและพละกำลังทางการเมืองของพลเอกประวิตร ในวันนี้นั้นแน่นหนาเป็นปึกแผ่น เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ยากจะมีใครท้าทาย หรือโค่นล้มได้
แต่ประเด็นก็คือ แล้วพลเอกประวิตรจะพึงพอใจแค่เป็นผู้บังคับการขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง(Prime Mover from behind the curtain) ไปอีกนานแค่ไหน?
ชาวบ้านชาวช่องเขาก็ต่างรอต่างลุ้นกันว่า เมื่อใดพลเอกประวิตร จะลุกออกจากหลังม่านมาแสดงฝีมือเป็นผู้นำ เป็นพระเอกเสียเองให้สังคมได้รู้แจ้งเห็นจริงกัน หรือจะข่มใจปล่อยให้ลูกน้องลูกรักนาม ประยุทธ์ จันทร์โอชา โลดแล่นเป็นหุ่นเชิดไปวันๆ อย่างที่ผ่านมา
ไหนๆ ก็มีอำนาจล้นฟ้าขนาดนี้แล้ว และจัดได้ว่าไม่มีฝ่ายค้านที่แข็งแกร่ง หรือน่าเกรงขาม ผมเองก็เลยอยากจะขอเชิญชวนให้พลเอกประวิตร ออกจากหลังฉาก มานำพาประเทศเสียเอง จะได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ภายใต้อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม ชาตินิยมและอำนาจนิยม เพื่อจะได้มาต่อกรกับฝ่ายเสรีประชาธิปไตย การเมืองไทยก็จะได้เป็นการเมืองแบบ 2 ขั้ว คือระหว่างฝ่ายอำนาจนิยม กับฝ่ายหัวก้าวหน้า หรือระบบอำนาจกระจุกตัว กับระบบอำนาจกระจายตัว หรือระบบการเมืองประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตย กับระบบการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตย
ฝ่ายพลเอกประวิตร ก็ดูเป็นรูปเป็นร่างแน่ชัด แต่ฝ่ายที่จะเอาทหารออกจากการเมืองก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง กระจัดกระจายกันอยู่ ยังขาดกลุ่มแกนนำและเครือข่าย แต่ก็คงไม่นานเกินรอเพราะเหตุการณ์ทางการเมืองมันกำลังบังคับให้ไปในทิศทางนั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี