• “ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย” มี ๓ คำ ๓ ส่วน
๑.ประวัติศาสตร์ : เป็นเรื่องราวในอดีต ที่ผ่านไปลบไม่ได้แล้ว
๒.ประชาธิปไตย : หลักการปกครองแบบหนึ่งที่มีความเป็นมายาวนาน มีหลากหลาย
๓.ไทย : คือ ประเทศไทย ประชาชนไทยทั้งหมดทั้งหลาย มิใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ที่ถูกบันทึก หรือบอกเล่า ให้ความจริง และความเท็จ ตามผู้ที่บันทึกต่อๆ มาไม่มีใครผู้ใด แม้นมีความเป็นธรรม มีจรรยาบรรณฯ จะสามารถบันทึกได้ครบถ้วนหมดสิ้น เพราะจะมีบทบาทหรืออยู่ในที่ใดที่หนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงมีภาพและมุมมองตามที่เห็นยิ่งมีผู้ที่มีความเห็นต่าง ทั้งฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายถูกกระทำ และมีอคติความรักความไม่ชอบฯยิ่งทำให้คำว่า “ประวัติศาสตร์” ที่มาถึงคนในรุ่นปัจจุบัน มีทั้งเรื่องจริง และไม่จริงเสมอฯ
เอารูปธรรม เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ก็มีหลายทัศนะมุมมอง ตามที่ผู้นำหลายฝ่ายนำเสนอตรงกันบ้าง ไม่ตรงบ้าง บางคนได้เสนอทัศนะ ตามที่ตนได้ประสบด้วยตนเอง บางคนอยู่ในที่หนึ่ง กลับไปกล่าวยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกที่หนึ่ง อาจจะเป็นเพราะ อีโก้ฯ และความจริง ก็มีอีกมุมหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่ง ที่อยู่ในฝ่ายบริหาร ทั้งรัฐบาลและทหารฯ ทำให้เราได้เข้าใจได้ดีขึ้นมากขึ้น (แต่ก็มิได้ครบหมด) คือ นอกจากพลังของนักศึกษาประชาชน หลายแสนคน ที่ออกมาชุมนุมฯ เรียกร้องต่อรัฐบาลฯภายในรัฐบาลและกองทัพ ก็มี ๒ ฝ่าย ที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แบบแตกหัก เช่น
-ฝ่ายรัฐบาล จอมพลถนอม-ประภาส- ณรงค์ vs
-ฝ่ายพลเอกกฤษณ์ (ผบ.ทบ.) พล.ต.อ.ประเสริฐ-พล.อ.อ.ทวี พลโทวิฑูรย์ (คุมเสือพรานฯ)
•บางเหตุการณ์ ฝ่ายหนึ่ง(ประชาชน) มีมุมมองคล้ายๆ กัน เช่น พฤษภา ๒๕๓๕ บางเหตุการณ์ มีมุมมองต่างกัน เช่น พธม. นปช. กปปส. (๒๕๔๙-๒๕๕๗) เพราะทัศนคติทางการเมือง และหรือ มีผลประโยชน์ต่างกัน แต่อ้างประชาชนเหมือนกัน
•และมีเรื่องน่าเศร้า คือ คนที่ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ซึ่งอาจจะยังไม่เกิด หรือเป็นละอ่อนอยู่กลับมายืนยัน กล่าวอ้างว่า “ตนถูก อีกฝ่ายหนึ่งผิด” เพราะอ่านข้อเท็จต่างกันไปที่น่าเศร้าหนัก คือ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้สอนนักศึกษาตามอคติของตนแทนที่จะสอน ความรู้ การวิเคราะห์ฯ และสอนให้ศึกษาหาความจริงต่อไป อย่าเพิ่งสรุปอคติ อวิชชา จึงถูกถ่ายทอด และขยายความต่อๆ ไป หนักขึ้น รุนแรงขึ้นจากความจริง
•ความจริง ที่ต้องทราบ คือ
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ที่เป็นเรื่องของผู้นำผู้ตามจำนวนมากหรือ เรื่องของปัจเจกบุคคล ทุกระดับ ล้วนมีทั้ง “ข้อดี ข้ออ่อน ข้อจำกัดฯ” ไม่มีใครดีหมด หรือชั่วหมด อาจจะมีทั้งถูกและผิด ในโลกนี้ ไม่มีคนดี ๑๐๐% ในทางศาสนา จึงต้องไปหา “คนดี ๑๐๐% : คือ พระเจ้า” มาเป็นศาสดา เป็นผู้นำ
และการเป็นคนดี และคนชั่ว ล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งของตัวเอง วงศ์ตระกูล สภาพแวดล้อม การสั่งสอนของพ่อแม่ พระ ครูบาอาจารย์ ผู้ปกครองบ้านเมืองผู้นำที่เป็นแบบอย่างและ “ทุกคน” ไม่ว่า “เคยเป็นคนดีหรือคนชั่ว” ก็สามารถกลับเปลี่ยนได้ถ้ามี “เหตุปัจจัย (ใหญ่กว่าความคิดความเชื่อเดิม)” มากระทบความคิดของตน เช่น องคุลีมาล : ซึ่งโดยพื้นฐานเป็นคนดีแต่มาเจอ อาจารย์ไม่ดี จึงทำชั่วทำบาปใหญ่ แต่ได้มาเจอพระพุทธเจ้า ได้คำสอน แง่คิดที่กระทบจิต จึงกลับตัวกลับใจ อีกประการหนึ่งที่สำคัญในเชิงสังคมและชีวิตคนที่เริ่มมีครอบครัว มีลูกฯ เริ่มมีความรับผิดชอบ ก็มีโอกาสปรับตัวให้เป็นพ่อแม่ที่ดีเลิกทำสิ่งที่ไม่ดี เพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อลูก ให้ลูกได้ภาคภูมิใจ บางคนที่เป็นข้าราชการ หรือเอกชนในยามที่ได้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดก็มีเหตุปัจจัย ในการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้
กลับมาพูดต่อเรื่อง ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย
หากเราได้ใช้สติปัญญา ความจริง คิดวิเคราะห์ ตามที่กล่าวมาเราก็จะรับรู้ ข้อดีข้อเสีย ของเหตุการณ์หนึ่งๆจะมีส่วนทำให้เรายอมรับ “ในส่วนที่ดี มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อส่วนรวม” และเข้าใจ “ข้ออ่อน ข้อเสีย ทั้งจากการเปลี่ยนไป ความขัดแย้ง ข้อจำกัด”
สถาบันต่างๆ และเรื่องราวของ “บุคคลคณะบุคคล” ที่คงอยู่คู่มากับสังคมไทย
ล้วนแต่มีเรื่องบางส่วน ที่มีผลดี มีคุณูปการต่อประชาชนและบ้านเมือง เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์กองทัพ ข้าราชการ สถาบันประชาธิปไตยฯ รวมทั้งสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียนอรุโณทัย อัสสัมชัญ (ลำปาง) เตรียมอุดม จุฬาฯ สถาบันพระปกเกล้า (ปปร. ๒) สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชุดแรก ฯลฯ สถาบันทางศาสนา เช่น วัดเชียงราย (ลำปาง) สวนโมกข์ วัดชลประทานฯวัดญาณเวศกวันฯ
ส่วนที่เป็นข้ออ่อน ข้อจำกัดฯ ที่ควรปรับปรุงแก้ไขก็ควรนำเสนอในเชิงสร้างสรรค์ คิดและมีมุมมองในด้านบวก จึงจะมีโอกาสปรับแก้ไขได้ และหากใครหรือสถาบันใดฯ ไม่ปรับตัวเอง ให้สอดคล้องให้มีคุณค่า ความหมายและประโยชน์ก็จะดับ หรือสูญสลายไปเอง ดังนี้ตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์
สำหรับตัวเอง เคารพเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์
จากสิ่งที่ได้เรียนรู้เข้าใจ ประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะที่มีผลดีมาถึงปัจจุบัน อีกทั้งก็ได้มีโอกาสพิเศษในส่วนตัวที่ได้เห็นรับรู้ด้วยตนเอง ในช่วงทำหน้าที่ผู้นำนักศึกษาฯและการได้ติดตาม และรวมทั้งการได้รับทราบจากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ที่น่าเคารพยังคงรำลึกถึงคุณูปการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ล่มสลายไปแล้วแต่ก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของประเทศไทยและชีวิตของคนหนุ่มสาวนับพันหมื่นฯ ที่ได้เข้าไปร่วม ได้รับการปกป้องคุ้มครองฯ ในช่วงที่อยู่ในเมืองไม่ได้ในช่วงปี ๒๕๑๙ ฯลฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี