แทนที่จะยึดโยงอยู่กับระบอบการเมืองการปกครองของไทยแบบที่แล้วๆ มา ซึ่งพึ่งพาความคิด ความปฏิบัติในระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตกเป็นหลักเราน่าจะลองมาคิดพัฒนา ให้ประชาธิปไตยของเราก้าวหน้าไปบนพื้นฐานของระบอบหลักธรรมาธิปไตยกันดีไหม?
เหตุที่เสนอเป็นอย่างนี้ เพราะเรื่องประชาธิปไตยหรือการเมืองแบบตัวแทนนั้นเป็นของพวกยุโรปฝรั่งมังค่า ซึ่งเขามีประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อของเขาเอง และมีการวิวัฒนาการมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
แต่ในขณะที่ไทยเรา และประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายนอกทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ (ซึ่งเป็นอดีตชาวยุโรป) ก็ไปรับระบอบของเขามาเต็มใบ ในขณะที่สภาพสังคมต่างๆ ของเราไม่เหมือน และแตกต่างกับของเขาอย่างมากมาย
อย่างไรก็ดี เรานั้นมีประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม และระบบความคิด ความเชื่อของตนเอง หรือนัยหนึ่งเราก็มีรากของเราเอง เช่น ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้การปกครองมีความสัมพันธ์กันแบบพ่อ-ลูก สะท้อนความรัก ความเมตตา ความยุติธรรมของฝ่ายผู้ปกครอง และความเคารพนับถือเชื่อฟังของฝ่ายลูกบ้าน แล้วทั้ง 2 ฝ่ายสื่อสารกันได้ “สั่นกระดิ่ง”
แต่ดั้งเดิมเราก็มีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในเรื่องภูตผีปีศาจ และต่อมาก็รับเอาศาสนาพุทธและพิธีการของพราหมณ์ฮินดูเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะผู้ปกครองเป็นผู้มีบุญ แต่ต้องกำกับตัวเองด้วยธรรมะ และปกครองด้วยหลักธรรม
ฉะนั้น ความเมตตา (ของฝ่ายผู้ปกครอง) พร้อมด้วยตัวธรรมะ จึงเป็นหนึ่งในหลักรัฐศาสตร์การเมืองการปกครองของไทยมาช้านาน
ในขณะเดียวกัน ความเป็น “ไท” ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นอิสระเสรี ปราศจากการครอบงำ ขู่บังคับใดๆ(ซึ่งกฎหมายได้กล่าวถึงสิทธิเสรีภาพ หรือจะใช้ศัพท์ฝรั่งก็คือ การต้องมี ต้องได้รับการปฏิบัติด้วยหลักสิทธิมนุษยชน)
อีกทั้ง ศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา ก็มีพื้นฐานคำสอนคล้ายคลึง หรือเหมือนกัน คือการต้องอยู่ร่วมกัน ด้วยการร่วมมือกัน เคารพซึ่งกันและกัน และการไม่เบียดเบียนกัน หรือจะใช้ศัพท์ฝรั่งก็คือ การเคารพซึ่งความเป็นมนุษย์ร่วมโลก
และการที่พ่อขุนเรียกประชุมหารือลูกบ้านก็ถือว่าเป็นหลักปฏิบัติประชาธิปไตยอันสำคัญขั้นพื้นฐานทีเดียว
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นการแสดง หรือพิสูจน์ให้เห็นถึงพื้นฐานและรากเหง้าของสังคมไทยมาหลายๆ ร้อยปี และบ่งบอกซึ่งความเป็นประชาธิปไตยและการกำกับชีวิตกันด้วยหลักธรรมาภิบาล หรือธรรมะเป็นกรอบ เป็นตัวชี้นำ เป็นที่ตั้งอยู่ในตัว
ผู้ปกครองทุกคน ทุกระดับ จึงต้องเป็นผู้ที่มีธรรมะ
ไทยเราจึงมีรากเหง้า (Roots) ของเราเองไม่น้อยไปกว่าพวกยุโรป แต่เราไม่ได้ใช้ “ราก” ของเราเป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐานการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย แต่รับและลอกของฝ่ายยุโรปมาทั้งดุ้น ก็ทำให้เกิดปัญหา จะแก้ได้เราต้องกลับไปเริ่มใหม่ที่รากนั้นๆ เช่น ธรรมะเป็นที่ตั้ง เป็นกรอบชี้นำ เป็นต้น
เมื่อขาดธรรมะประเด็นปัญหาในสังคมไทยที่เลวร้ายที่สุดในวันนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์
เรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเรื่องสิทธิ หน้าที่ และบทลงโทษ แต่มิได้มีการระบุแต่อย่างใดในเรื่องหลักธรรม หรือกฎธรรม
ฉะนั้น ก็ถึงเวลาที่เราจะทบทวน และเราวางโครงสร้างสังคมไทย และสร้างชีวิตสังคมไทยกันใหม่ด้วยการยึดหลักธรรมเป็นจุดเริ่มต้น หรือนัยหนึ่งแล้วจะต้องเสริมสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมธรรมาธิปไตย
ซึ่งไม่ขัดกับระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายยุโรป อเมริกาในสาระเนื้อหาหลักๆ แต่มีมาก่อนเสียด้วยซ้ำ และมีมากกว่าด้วย คือเอาเรื่องธรรมะเป็นจุดเริ่มต้น เป็นกฎหมายข้อบังคับกับพลเมืองทุกคนและโดยเฉพาะกับผู้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง
จะมีปริญญา จะมีชื่อเสียง จะมีทุนทรัพย์ และจะมีอิทธิพลใดๆ ก็ไม่เหมาะสม ไม่เป็นการเพียงพอต่อการรับใช้บ้านเมือง หากเป็นผู้ที่ขาดซึ่งธรรมะ
การจะแก้ไขปัญหาการเมืองไทยในวันนี้ เราต้องกลับไปที่รากเหง้าของเรา คือการอยู่กันและอยู่ด้วยธรรมะ
จึงอยากขอเรียนเชิญให้มาช่วยกันคิด มาเขียนเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งธรรมาธิปไตย เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยประชาธิปไตยแบบฝรั่งไม่เพียงพอ และใช้ไม่ได้ ไม่เหมาะสม เพราะขาดธรรมะซึ่งเป็นรากเหง้าของสังคมไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี