ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมทำวิจัยกับคนเก่งๆ หลายคนที่มีความรู้และประสบการณ์จากหลากหลายศาสตร์มารวมตัวกันศึกษาเรื่องธรรมาภิบาลและการคอร์รัปชัน ทำให้ได้ข้อค้นพบหลายประการที่น่าสนใจมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบกลไกแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในสังคมไทยต่อไปในบทความนี้ผมจึงขอนำข้อเรียนรู้จากงานวิจัยต่างๆ ที่ผมมีส่วนร่วมด้วย มาสรุปให้อ่านอย่างสั้นๆ ง่ายๆ ทั้งหมด 9 ข้อ นะครับ
1.คอร์รัปชันแก้ได้
คนไทยเราอาจรู้สึกสิ้นหวังที่จะแก้ปัญหานี้และรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเห็นประเทศอื่นเขาพัฒนาหนีเราไปหมด แต่ความจริงอยากให้รู้ไว้ว่ามีหลายประเทศและเขตปกครองประสบความสำเร็จแล้ว ฮ่องกงเคยหนักขนาดคนขับรถพยาบาลไม่ยอมสตาร์ทรถถ้าญาติคนป่วยไม่ให้สินบน คนอินโดนีเซียเคยถูกกดขี่ขูดรีดจากนักการเมืองจนประเทศแทบล้มละลาย เกาหลีใต้เคยอยู่ภายใต้เผด็จการที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจใหญ่ไม่สนใจประชาชนอดอยาก วันนี้ประเทศเหล่านี้สามารถพลิกโฉมตัวเองจนมีภาพลักษณ์การคอร์รัปชันที่ต่ำมากและต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นตัวอย่างให้ทั่วโลกต้องไปดูงาน แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้แก้ได้ และจากการผลการวิจัยเบื้องต้นเราพบว่า ถ้าออกแบบกลไกให้เหมาะกับประเทศไทย คอร์รัปชันแก้ได้ครับ
2.จะเริ่มแก้ปัญหาต้องเข้าใจคนจริงๆ
การวิจัยแบบที่อยู่หน้าคอมพ์ เปิดอ่านงานอื่นๆ แล้วมาวิเคราะห์สรุปผลแบบที่ผมเคยทำมาไม่เพียงพอจริงๆ การลงพื้นที่ไปคุยกับคน เพื่อเข้าใจความคิด ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างมากของคนในพื้นที่ต่างกัน มีผลอย่างมากต่อการออกแบบกลไกแก้ไขปัญหาสังคม เรื่องการเข้าใจคนอย่างลึกซึ้งแบบนี้ นักสังคมวิทยาเก่งมาก
ครั้งหนึ่งที่เราลงพื้นที่เราพบว่า ชาวบ้านมีกติกาชุมชนที่กำหนดว่าหากมีการโกงในหมู่บ้าน จะเริ่มต้นลงโทษจากการไม่ให้เข้าร่วมงานสังคมต่างๆ หากทำผิดอีกจะขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ก่อนขั้นสุดท้ายคือ ส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดี แสดงให้เห็นว่าหลายชุมชนต้องการจัดการปัญหากันเองภายในก่อนดังนั้นหากรัฐใช้เพียงกลไกแบบทางการโดยให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีเป็นหลัก ก็จะประสบอุปสรรคต่อความร่วมมือมาก
3.ต่างคนต่างความคิดต่างความสนใจ
ถ้าจะปลุกพลังคนไทยมาร่วมต้านโกงได้ ต้องรู้ว่าคนแบบไหนชอบอะไร และกระตุ้นให้อยากร่วมต่อต้านคอร์รัปชันด้วยปัจจัยแบบไหน คนบางกลุ่มต้องเริ่มด้วยทำให้เห็นว่าการโกงกระทบกับตัวเขาอย่างไร บางกลุ่มเริ่มด้วยการบอกว่าขั้นตอนการต้านโกงทำอะไรได้บ้างแบบชัดเจน หรือบางกลุ่มต้องเน้นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคม เรื่องการแบ่งกลุ่มคนและหาปัจจัยกระตุ้นแบบนี้ นักการตลาดเก่งมาก
จากการวิจัยหนึ่ง เราพบว่าการให้ความรู้เพื่อยกระดับบรรทัดฐานส่วนบุคคลเรื่องการโกง ให้คนรู้สึกผิดหากต้องไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันนั้นสำคัญมาก เพราะสามารถพลิกความรู้สึกคนจาก “ช่างมัน” ให้เป็น “ลุยเลย” ได้อย่างรวดเร็วที่สุด นอกจากนี้เรายังพบว่าคนที่ร่วมต้านโกงมานานๆ มีโอกาสที่จะชินชากับการโกงระดับเล็กๆ มากกว่าคนทั่วไป จึงสำคัญมากที่ต้องกระตุ้นความรู้สึกคนในวงการต้านโกงให้กระชุ่มกระชวยเหมือนวันแรกที่ก้าวเข้ามาร่วมงานด้วย
4.การปลูกฝังต้องกระจาย
เพราะการกระตุ้นหรือจูงใจ ให้คนมาร่วมต้านคอร์รัปชันนั้น ต้องทำหลายวิธี และทำต่อเนื่อง จัดอบรมหรือสอนเป็นหลักสูตรแม้จะมีประโยชน์แต่ไม่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มหลักสูตรการอบรมเรื่องศีลธรรม จริยธรรมในโรงเรียน หากไม่มีการออกแบบและบูรณาการอย่างเหมาะสมแล้ว อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นได้ เช่น ภาระงานของครูที่เพิ่มขึ้นจนไม่มีเวลาถ่ายทอดหลักสูตรเหล่านี้อย่างที่ออกแบบไว้ ทำให้นักเรียนเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญเสียเวลา เรื่องการสรรสร้างวิธีการปลูกฝังที่หลากหลายแบบนี้ นักการศึกษาเก่งมาก
จากการสัมภาษณ์คนที่ทำงานในวงการต่อต้านคอร์รัปชันจำนวนมากพบว่ามีแรงบันดาลใจที่หลากหลายมาก ทั้งประสบการณ์ตรงวัยเด็ก การเห็นคนอื่นถูกเอาเปรียบ จนถึงการตั้งคำถามเรื่องความหลื่อมล้ำของสังคม ปัจจัยเหล่านี้ต้องมีการออกแบบการถ่ายทอดอย่างไม่ชี้นำเพื่อกระตุ้นให้เยาวชนอยากเรียนรู้และปฏิบัติด้วยตนเอง
5.เด็กไทยฉลาดมากและเก่งด้วย
ควรให้เขาได้ทดลองปฏิบัติจริงเรื่องธรรมาภิบาลมากกว่าแค่อบรมสั่งสอน ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทดลองใช้สิทธิมากกว่าแค่เลือกตั้งประธานนักเรียน แต่ไปถึงการตรวจสอบงบประมาณโรงเรียน การสร้างตึกเรียนที่เขาจะต้องอยู่ การซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนที่เขาจะต้องใช้ แล้วเปิดให้นักเรียนได้ถาม ได้พูดอย่างเต็มที่ ผ่านกระบวนการที่สร้างสรรค์ จะทำให้เขาโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติไทยให้ใสสะอาดได้จริง การชักชวนเยาวชนมาร่วมโครงการแบบนี้ นักวิจัยรุ่นใหม่ทำได้ดีมาก
จากการทดลองจริง พบว่าเมื่อนักเรียนได้ถามคำถามบนพื้นฐานของข้อมูลจริง ครูก็จะสามารถยอมรับความเห็นต่างๆได้มากขึ้น นำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการเปลี่ยนแปลงบนความเห็นร่วมกัน
6.คนต้านโกงต้องร่วมมือกัน
คนที่ทำงานต้านคอร์รัปชันในไทยมีอยู่เยอะ แต่ยังร่วมงานกันไม่เหนียวแน่นพอ ดังนั้นการเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบจะทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันก้าวกระโดดได้เร็วที่สุด เช่น บางองค์กรมีองค์ความรู้แต่ขาดคนทำ บางองค์กรมีอาสาสมัครเยอะแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ควรพามาเจอกันแล้วสร้างทางเดินร่วมกัน การใช้เทคโนโลยีในการสร้างพื้นที่เชื่อมโยงอาจเป็นคำตอบ การสร้างแบบจำลองความสัมพันธ์ของเครือข่ายแบบนี้ นักสถิติทำเก่งมาก
ที่สำคัญ แบบจำลองเชิงสถิติในงานวิจัยแสดงว่า ถ้าเราไม่เริ่มสร้างความเชื่อมโยงในเครือข่ายตั้งแต่วันนี้ ในอนาคตความร่วมมือจะยิ่งสร้างได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
7.ข่าวเรื่องโกงก็มีผลต่อความคิดคน
คนแต่ละคนถูกสังคมรอบข้างหล่อหลอมความคิดเรื่องคอร์รัปชันอยู่มาโดยตลอดโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งข่าวที่อ่านในแต่ละวันก็ส่งผลต่อวิธีคิดและพฤติกรรม ข่าวเรื่องการคอร์รัปชันในไทยมักจะสร้างความดราม่า มาแรงมาเร็ว แต่ก็จบเร็วด้วย คนไทยจึงมักมองการคอร์รัปชันเป็นปีศาจที่ต้องฆ่าให้ตาย ต้องเพิ่มโทษคนโกง ต้องด่า ต้องประณาม แต่ไม่ค่อยคุยเรื่องการป้องกันระยะยาว เช่น การสร้างความร่วมมือ การปรับโครงสร้างสังคม การสร้างระบบที่เอื้อให้คนซื่อสัตย์อยู่ได้ เหมือนในหลายประเทศที่ข่าวมักจะเขียนคำเหล่านี้ไปพร้อมๆ กับการกล่าวถึงคอร์รัปชันเสมอ การศึกษาภาษาและคำพูดที่มีผลต่อความคิดและพฤติกรรมคนแบบนี้ นักภาษาศาสตร์เก่งมาก
8.การเปิดเผยข้อมูลสำคัญมาก
การแสดงผลข้อมูลก็เช่นกัน ปัจจุบันข้อมูลสาธารณะมีอยู่มากมาย แต่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ข้อมูลนักการเมืองก็เก็บไว้ที่หน่วยงานหนึ่งในรูปแบบหนึ่ง ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างก็จัดเก็บโดยอีกหน่วยงานหนึ่งและเก็บในอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งๆ ที่หากเอามาเปิดเผยและเชื่อมโยงกัน อาจจะทำให้เห็นความสุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันได้อย่างดีมาก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ป.ป.ช. หรือ สตง. ไปตรวจสอบต่อได้ ยิ่งข้อมูลของผู้แทนฯในสภาที่เราเลือกเข้าไปเอง ว่าเขาทำอะไรอยู่บ้าง และมีแผนจะทำอะไร ยิ่งสำคัญมากๆ แต่เราก็ไม่ค่อยรู้กัน ดังนั้นจึงต้องหาทางแสดงให้ทั้งรัฐและประชาชนเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลมีประโยชน์มากแค่ไหนให้เป็นตัวอย่าง เรื่องการสร้างระบบจัดเก็บ เชื่อมโยง และแสดงผลข้อมูลอย่างเข้าใจง่ายๆ แบบนี้ นักคอมพิวเตอร์เก่งมาก
9.สำหรับประเทศไทย การจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้ต้องเข้าใจปัญหาจริงๆ จากหลายมุมมอง
ดังนั้นการบูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา ทั้งเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา ภาษาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ครุศาสตร์ นิติศาสตร์ พัฒนาชุมชน เกษตรศาสตร์ บริหารธุรกิจ และอื่นๆ จึงสำคัญมากในการเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งและได้วิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ๆ มาลองใช้ วันนี้เราได้เห็นแล้วว่ามีคนเก่งๆหลายคน ที่มีความรู้ที่หลากหลายเข้ามาร่วมทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องหาทางดึงความรู้เหล่านี้มาบูรณาการและประยุกต์ใช้จริงในสังคมไทยต่อไปครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี