นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ยังคงตรวจราชการที่อัยการภาค 4 จะกลับ กทม.สัปดาห์หน้า
อ้างว่า เกี่ยวกับข่าวการสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” หรือ วรยุทธ อยู่วิทยา นั้น อัยการสูงสุดเพิ่งทราบข่าวจากสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ ซึ่งอัยการสูงสุดได้สั่งการให้ตรวจสอบสำนวนคดีแล้ว
นายประยุทธ กล่าวว่า โดยหลักกฎหมายแล้ว คดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องเอง
และกรณีคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ถ้าไม่ใช่คำสั่งของอัยการสูงสุดแล้ว จะต้องเสนอสำนวนไปให้ ผบ.ตร. พิจารณาทำความเห็นแย้ง ถ้าตำรวจเห็นพ้องกับอัยการ ก็ถือว่าเป็นคำสั่งเสร็จเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บอกว่า หากมีพยานหลักฐานชิ้นใหม่ก็สามารถสอบสวนและดำเนินคดีได้ภายในอายุความ
1.การอ้างเช่นนี้ อาจถูกมองว่าเป็น “มุขเก่า”
เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อคราวอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินของนายพานทองแท้ ชินวัตร ทั้งๆ ที่คดีดังกล่าว
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นควรพิพากษาลงโทษให้จำคุกจำเลย 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษาด้วย
ครั้งนั้น รองโฆษกอัยการก็ชี้แจงว่า อัยการสูงสุด นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ เพิ่งทราบเรื่อง เพราะขณะนั้นเดินทางไปราชการในพื้นที่ภาค 7 โดยนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด อาวุโสลำดับที่ 1 รักษาราชการแทน เป็นผู้ลงนามคำสั่งไม่อุทธรณ์คดี
ครั้งนั้น ก็อ้างว่า ให้รายงานข้อเท็จจริง แล้วจะชี้แจงต่อสังคมต่อไป
แต่จนบัดนั้นเป็นต้นมา ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว ก็ยังไม่มีคำชี้แจงรายละเอียด เหตุผล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการสั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินของนายพานทองแท้เลย
2. น่าสงสัยว่า อัยการสูงสุดมีอำนาจหน้าที่สำคัญอย่างที่สุด แต่เหตุใดคดีสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของผู้คนในกระบวนการยุติธรรมเช่นนี้
ไม่ว่าจะคดีฟอกเงินของลูกชายอดีตนายกฯ
หรือคดีรถชนตำรวจตายของลูกชายมหาเศรษฐีใหญ่
ทำไมอัยการสูงสุดถึงต้องไปตรวจราชการต่างจังหวัด แล้วคนที่ลงนามแทนจึงต้องเป็นผู้อื่น? เพราะอะไร?
แล้วทำไมการพิจารณาไม่ผ่านอัยการสูงสุด ทั้งๆ ที่ คดีในข้อหาสำคัญยังไม่หมดอายุความ ยังมีเวลา การไปตรวจราชการก็ไปแค่ต่างจังหวัด ไม่ใช่ไปต่างประเทศ หรือไปต่างดวงดาว
3.น่าสงสัยว่า ทำไมบรรดาคดีของคนใหญ่คนโต ที่อัยการยุคนี้ “มีคำสั่งไม่ฟ้อง” เช่น คดีฟอกเงินของเจ้าสัวธรรมกาย, ไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินของลูกชายอดีตนายกฯ และหรือคดีนายบอสล่าสุดนี้ “บิ๊กอัยการ”ที่ลงนาม ล้วนแต่เป็นคนเดียวกัน หรือไม่?
ทั้งหมด อัยการสูงสุด ล้วนแต่ปิดปากเงียบ ไม่เคยออกมาชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเลย
บ้านเมืองเวลานี้ เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร หรือยุคมืด?
คำสั่งไม่ฟ้องไม่ใช่เอกสารลับที่ห้ามเปิดเผยโดยเด็ดขาดคณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารก็เคยพิจารณาให้เปิดเผยข้อมูลคำสั่งไม่ฟ้องและความเห็นของอัยการมาแล้ว เช่น คำวินิจฉัยสค 225/2557 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2557
ทำไมรัฐบาลจึงปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกกับองค์กรที่สำคัญอย่างที่สุดในต้นธารกระบวนการยุติธรรมเพราะสามารถทำให้คดีไปไม่ถึงชั้นศาลได้ ทำให้คนทำผิดอาจจะลอยนวลได้
องค์กรอัยการจะต้องมีความเป็นอิสระ แต่ไม่ได้หมายความจะเป็นรัฐอิสระ
หากปล่อยไปเช่นนี้ สุดท้าย แรงกดดันก็จะลามไปถล่มพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และผู้นำในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติทุกๆ ด้าน รวมทั้งด้านการยุติธรรมอย่างแน่นอน
4.ทราบว่า “บิ๊กอัยการคนหนึ่ง” ได้พิจารณาพยานหลักฐานใหม่ หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วถึง 7 ปี !!!
สำหรับข้อหาขับรถประมาท มีผู้ถึงแก่ความตายนั้น อ้างว่ามีพยานบุคคลและพยานผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันว่า รถจักรยานยนต์
ของตำรวจ ขับขี่เข้าไปในช่องทางของนายวรยุทธ โดยกระชั้นชิดทำให้นายวรยุทธหลบไม่ทัน (อ้างนายวรยุทธขับขี่ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชม.) เป็นเหตุสุดวิสัย
การกระทำของนายวรยุทธ จึงไม่เป็นความผิดข้อหา ขับรถประมาทมีผู้ถึงแก่ความตาย
ในที่สุด จึงกลับความเห็นเดิม ทั้งๆ ที่ อัยการก่อนหน้านี้มีความเห็นสั่งฟ้องไปแล้ว
5.ส่วนที่โฆษกอัยการอ้างว่า ผู้เสียหายสามารถฟ้องเองนั้น ต้องถามกลับว่า อัยการยังเป็น“ทนายของแผ่นดิน” อยู่หรือไม่? ถ้าไม่ แล้วจะมีอัยการไว้ทำไม?
6.ช่างน่าสมเพชนักการเมืองและอดีตนายตำรวจบางคน ที่ฉวยโอกาสออกมาโหนกระแสผสมโรงถล่มด่าไปกับเขาด้วยในขณะนี้
เพราะบรรดาคดีและการหลบหนีของนายวรยุทธนั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดขึ้น ขาดอายุความ และหลบหนี ไปหลายปีก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ในยุคของบางคนที่ “ใจกล้าหน้าด้าน” ออกมาร่วมโจมตีโหนกระแสสังคมในวันนี้ด้วย
เหตุการณ์รถหรูที่นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา เป็นผู้ขับ ชนตำรวจ สน.ทองหล่อเสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 ฝ่ายค้านเวลานี้ ถ้าเก่งอย่างปากจริง เหตุใดไม่มีปัญญาดำเนินคดีส่งฟ้องศาล ในข้อหาที่ชัดเจน แต่กลับยืดเยื้อจนหมดอายุความ เมื่อปี 2556 (หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ ซึ่งยังอยู่ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์)
ข้อหาขับรถประมาทชนรถผู้อื่นเสียหาย ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด อายุความ 1 ปี หมดอายุความตั้งแต่ปี 2556
หลังจากนั้น นายวรยุทธก็หนีไปต่างประเทศ ตามจับตัวไม่ได้ จนข้อหาชนแล้วหนี หมดอายุความเมื่อปี 2560
ข้อหาเมาแล้วขับ ก็สั่งไม่ฟ้อง เพราะไม่มีหลักฐานการตรวจแอลกอฮอล์ อ้างว่าผู้ต้องหาเมาหลังขับ
เหลือข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้อื่นถึงแก่ความตาย ยังไม่หมดอายุความ (อายุความ 15 ปี) แต่ล่าสุด อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ตำรวจก็ไม่เห็นแย้ง
ส่วน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ตาย ผู้ต้องหาที่ 2 สั่งไม่ฟ้องไปหมดแล้วเพราะผู้ต้องหาเสียชีวิต
กระบวนการยุติธรรมช่วงต้นธาร ทั้งในมือตำรวจและอัยการ ในกรณีนี้ ช่างน่าเวทนาใจ น่าอดสูอย่างที่สุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี