ม็อบของนักศึกษาที่จัดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ “เปิดหน้า” ชัดเจนแล้ว หลังจากอำพรางอยู่หลังข้อเรียกร้อง3 ข้อ คือ ยุบสภา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และหยุดคุกคามประชาชน ก้าวร้าว ก้าวล่วง และขอตรวจสอบ “สถาบันพระมหากษัตริย์” แบบชัดเจน พร้อมๆ กับ “ล้อเล่น” อย่างไม่เคารพเทิดทูน
คอนเซ็ปต์เดิมที่เรียกกลุ่มตัวเองและการชุมนุมว่า “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” พลิกกระแสสังคมกลับมาที่อารมณ์แบบ “จะไม่ทนธรรมศาสตร์” เช่น
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คระบุว่า เรียน นาย ปริญญา เทวานฤมิตรกุล...ผมขอถามว่า คุณมีสำนึกในความรับผิดชอบต่อการปล่อยปละละเลยกิจกรรมที่มีการล้ำเส้นละเมิดสิทธิมนุษยชนส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร... คุณดูดายต่อการละเมิดสิทธิของบุคคลหนึ่งที่ไม่โต้ตอบประชาชนเพราะดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม แล้วคุณปล่อยปละละเลยให้มีกิจกรรมให้ร้ายละเมิดสิทธิส่วนพระองค์เช่นนี้หรือ... แล้วคุณก็กล่าวเพียงแค่คำขอโทษแล้วเป็นอันจบกันแค่นั้นหรือ
คุณต้องการบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติหรืออย่างไร...บรรพบุรุษของคุณเข้ามาอาศัยราชอาณาจักรนี้ ก่อร่างสร้างตัวจนคุณได้มีโอกาส ได้ร่ำเรียน ได้เป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติ...คุณรู้จักคำว่า “กตัญญู”บ้างไหม “กตัญญู” คือคุณสมบัติของคนดี พ่อแม่เคยสั่งสอนบ้างหรือเปล่า คุณตอบแทนสถาบันหลักของชาติด้วยการปล่อยปละละเลยอย่างนี้หรือ...ใช้ไม่ได้ครับ คุณเขียนใบลาออกจากการเป็นข้าราชการไปซะ ไม่ใช่เพียงแค่ลาออกจากตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายกิจการส้นตีนนี้
คุณไม่รู้หรอกหรือครับ ว่า การปล่อยปละละเลยของคุณมันจะขยายผลให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงของประชาชนจนอาจเป็นชนวนเหตุแห่งการสูญเสีย...เยาวชนของชาติมีครอบครัวอันเป็นที่รักและรอคอยความสำเร็จจากเขาอยู่...คุณต้องการมีส่วนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ “ตุลา 19 รีเทิร์น”อย่างนั้นหรือ...หากวันหนึ่งเกิดสถานการณ์ความรุนแรงจนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย คุณยินดีหรือที่จะได้เห็นภาพความรุนแรงอย่างนั้น เพียงแค่คำขอโทษของคุณไม่พอครับ...มันไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี...คุณต้องลาออกจากการเป็นข้าราชการแสดงความรับผิดชอบต่อการปล่อยปละละเลยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่วนพระองค์ต่างหากครับ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดแสดงความรับผิดชอบด้วย
ไม่ขอแสดงความนับถือ
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
ทั้งหมดนี้ เป็นผลพวงมาจากการที่ ดร.ปริญญาเทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต ได้แถลงทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ที่นักศึกษา “ล้อเลียนข่าวในพระราชสำนัก นำรูปพระมหาพิชัยมงกุฎมาครอบอักษรย่อของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กับ นายปวิน ชัชชวาลย์พงษ์พันธุ์” สองผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา 112 ที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ก่อนจะจบด้วยการอ่านแถลงการณ์ที่เรียกร้องหลายข้อ ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการก้าวล่วงองค์พระประมุข ซึ่งอาจารย์ปริญญาได้ตบท้ายว่า
“ผมขอเรียนว่า แม้ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะให้เสรีภาพในการแสดงออก แต่การแสดงออกควรต้องอยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องพึงระวังในเรื่องละเอียดอ่อนและเรื่องที่อาจจะนำมาซึ่งความแตกแยกของผู้คนในสังคม และแม้ว่าเนื้อหาหลักของการชุมนุมจะเป็นไปตามขอบเขตดังกล่าว แต่เมื่อปรากฏเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะเลยขอบเขตไป ผมในฐานะรองอธิการบดีผู้อนุญาตผมก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ในเบื้องต้นผมขออภัย และขอน้อมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น”
แน่นอนว่า คำว่า “เลยขอบเขต” ออกมาจากแถลงการณ์ของอาจารย์ปริญญาอย่างชัดเจน ไม่รวมกับคนไทยอื่นๆ ที่ “เจ็บปวด” กับสิ่งที่นักศึกษาแสดงออก ที่ไม่เพียงแค่เรื่อง “คำถาม” แต่ยังเป็นเรื่อง “ท่าที” หยามหมิ่น ไม่เคารพ ทั้งต่อพระมหากษัตริย์ และต่อคนไทยอื่นๆ ที่มีความเคารพเทิดทูน
เช่นเดียวกับ สว.สมชาย แสวงการ ที่นำเสนอประเด็นเรื่อง “แค่ขอโทษไม่พอ” เหมือนกัน ปมปัญหาจึงมีอยู่ว่า อาจารย์ปริญญาจะจบเรื่องลงง่ายๆ เพียงแค่นี้หรือ แล้ว “ฮองเฮา” อธิการบดีหญิงล่ะ จะเพิกเฉย ดิฉันไม่เกี่ยวมหาวิทยาลัยให้เสรีภาพทุกตารางนิ้ว หรือทำเป็นเงียบๆ ไปจบที่อาจารย์ปริญญาก็พอ-ใช่หรือไม่?
ในแง่การกระทำของนักศึกษา เรื่องจึงหยุดอยู่ที่ปมปัญหาว่า “จะมีความผิดตามกฎหมายใดบ้างหรือไม่ แล้วจะมีการเอาผิดไหม” เรื่องของเจ้าของสถานที่ ปมปัญหามาหยุดอยู่ที่ จะเป็นแค่ความรับผิดชอบของอาจารย์ปริญญา หรือว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” จะมีท่าทีใด อย่างที่สมควรจะมีด้วย
ส่วนสื่อและคนมีตำแหน่งในบ้านในเมือง ก็ “อิหลักอิเหลื่อ” มาก ว่าจะพูดถึงเหตุการณ์นี้อย่างไร จะฟันธงลงไปได้ไหมว่าถูก-ผิด-ดี-ชั่ว อันจะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟไหม เช่น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าเวทีรับฟังความเห็นจากนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ ว่า วันนี้เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว กำหนดพื้นที่ไว้หมดแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนนี้เป็นต้นไป โดยจะจัดหลายพื้นที่และหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการสรุปส่งรายละเอียดให้ตนดูก่อน
เมื่อถามว่าได้มีการติดตามการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯ ไม่ติดตามได้อย่างไร ติดตามตามทุกเรื่อง ซึ่งการชุมนุมเป็นสิทธิ แต่การชุมนุมที่เกินเลยมากๆ ขอถามสื่อ สื่อว่าอย่างไร ปรากฏว่าพอนายกฯ พูดถึงช่วงนี้ สื่อไม่ได้ตอบคำถาม นายกฯ จึงกล่าวต่อว่า “ตอบสิตอบ ไม่กล้าตอบอีก สื่อก็ต้องแสดงความเห็นบ้าง ว่า ทำยังไงให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เพื่อให้เดินหน้าแก้ปัญหาโควิด-19 ไปได้ ทำอย่างไรให้รัฐบาลทำงานได้ คนเดือดร้อนรอแก้ปัญหาอีกเยอะแยะ ไม่เฉพาะคนรุ่นใหม่ ซึ่งการทำแบบนั้นเหมาะสมหรือไม่ แล้วจะทำอย่างไร กฎหมายอยู่ตรงไหน แล้วอย่าบอกว่าเอากฎหมายไปกดทับ มันไม่ใช่ เพราะถ้าละเมิดทุกคนก็ต้องถูกลงโทษ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็เสียหาย เจ้าหน้าที่ก็เสียหายไม่ทำงานก็ถูกฟ้องร้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร
เพราะฉะนั้นสถาบันต่างๆ ต้องช่วยกันดูแลรับผิดชอบกันบ้าง ไม่ใช่มาลงที่นายกฯ ทั้งหมด ต้องช่วยกัน ประเทศชาติเป็นของใคร เป็นของทุกคน และวันนี้ทุกคนทราบกันดีระหว่างปัญหาประเทศชาติอยู่ตรงไหน หลายอย่างที่เรียกร้องมามันใช่ปัญหาที่ทำได้วันเดียว 1-2 วัน หรือเดือนหนึ่งไหม มันกำหนดอย่างนั้นไม่ได้ หลักคิดอย่างนั้นมันไม่ได้ รัฐธรรมนูญเขียนว่าอย่างไร ไปดูรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก่อน”
เมื่อถามว่านักศึกษาจะมีการนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะนัดชุมนุมที่ไหนก็ว่ากันไป แต่ถ้าผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย
ด้าน นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา กล่าวว่า “ไม่ขอให้ความเห็น”
นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การชุมนุมของกลุ่มนิสิตนักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวานที่ผ่านมาว่า ส่วนตัวสนับสนุนการแสดงออกทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาภายใต้กรอบกฎหมาย และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญในฐานะที่เคยเป็นผู้นำนักศึกษามาก่อน มีความเห็นใจและเข้าใจในเจตนาดี และอุดมการณ์ของน้องๆ นักศึกษา ที่มีความใฝ่ฝัน อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ไปสู่สังคมอุดมคติ แต่การเคลื่อนไหวใดๆ ต้องสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศด้วย ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวมีพลัง มีแรงขับเคลื่อนและการสนับสนุนจากแนวร่วมอย่างมากมาย ถ้าหากกลุ่มนิสิตนักศึกษาจะธำรงไว้ซึ่งข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ที่ได้ประกาศไว้ต่อสาธารณชนแล้วโดยไม่มีประเด็นอื่นใดมาแอบแฝง ก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
“แต่จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีการชุมนุม เป็นการหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง สร้างความไม่สบายใจให้กับคนในชาติ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม แบ่งแยกประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย ด้วยการขยายผลของสื่อเลือกข้าง ซึ่งในขณะนี้ได้มีสื่อบางสำนัก ตั้งเป้าหมายปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อ โจมตีใส่ร้ายให้เกิดความเกลียดชังกันทั้ง 2 ฝ่าย จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงทางสังคมในที่สุด อาจจะเป็นการย้อนอดีตเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แต่ครั้งนี้จะเกิดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต จึงอยากจะเรียกร้องมายังน้องๆ นิสิตนักศึกษา ที่กำลังเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ ได้ทบทวนท่าทีและการแสดงออกในการเคลื่อนไหว ขอให้ธำรงไว้ซึ่งเป้าหมาย และข้อเรียกร้องในการชุมนุมที่ชัดเจน อย่าให้มีการครอบงำ แทรกแซงจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี จงเคลื่อนไหวด้วยพลังที่บริสุทธิ์ ในข้อเรียกร้องที่บริสุทธิ์ใจ ซึ่งจะทำให้ข้อเรียกร้องประสบความสำเร็จได้โดยเร็ว ไม่ควรให้มีการเบี่ยงเบนประเด็นข้อเรียกร้องไปในทิศทางอื่น ซึ่งอาจจะทำให้ขาดแนวร่วม และการสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ในสังคม และจะทำให้การชุมนุมข้อเรียกร้อง ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้”
เรื่องนี้จึงหยุดอยู่ที่ 1.จะมีการดำเนินคดีกับใครหรือไม่ 2.ธรรมศาสตร์จะอธิบายกับสังคมอย่างไร 3.สิ่งที่นักศึกษาผู้ชุมนุมเรียกร้อง จะได้รับการตอบสนอง หรือเริ่มต้นจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในส่วนหนึ่งส่วนใดบ้างหรือไม่
สังคมจะไหลไปถึงการเผชิญหน้าตามแรงยั่วยุ หรือหยุด สงบนิ่ง ตำหนิอย่างสุภาพ และหาคนรับผิดชอบ
ไม่ว่าจะไปทางหนึ่งทางใด คือ หยุดความคิดพวกนี้ซะ หรือ มาคุยกันหน่อยไหม
ก็นับว่า “ไม่ง่าย” เลยสักทาง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี