จากเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ดังที่พูดมาให้ฟังในตอนที่ผ่านมาแล้วนั้น เป็นอดีตที่เป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในบ้านเมือง และผลที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจเพียงอย่างเดียวนั้น นอกจากจะแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปไม่ได้ง่ายๆ ซ้ำยังมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นตามมาอีกแล้ว ไม่สามารถระงับหรือยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้า ผู้คนยังแตกแยก ต่างฝ่ายต่างยังเดินไปตามแนวทางของตน ไม่สามัคคีปรองดองกันอีกด้วยนั้น ผู้รับผิดชอบในการบริหารบ้านเมืองในยุคต่อๆมาได้เคยแก้ไขอย่างไร เป็นเรื่องที่อยากนำมาพูดสู่กันฟัง เพราะหลายๆคนอาจลืมไปแล้ว หรือไม่เคยใส่ใจในเรื่องอย่างนี้มาก่อน
โดยเฉพาะคนเป็นทหารและกำลังมีอำนาจ
ถ้าใช้อำนาจไม่เป็น หรือใช้อำนาจตามความพึงพอใจของตนแล้ว ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งการสูญเสียอำนาจที่มีอยู่ในมือ
การรบกับข้าศึกในสนามรบนั้นแตกต่างกับการสู้รบกับคนที่มีสายเลือดเดียวกัน เพราะความไม่เข้าใจกัน เลือดและน้ำตาที่ตกสู่พื้นดินนั้น ไม่ว่าฝ่ายไหนจะตายย่อมต้องมีความเจ็บปวดและสะเทือนใจมากยิ่งกว่าในสนามรบใดๆทั้งหมด
บทเรียนจากอดีตวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ลำพังความเห็นต่างซึ่งกันและกันระหว่างคนไทยด้วยกันเองนั้น คงไม่สำคัญเท่าเรื่องการมีผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง ทั้งในการชี้นำ การให้ความช่วยเหลือต่างๆโดยผู้คนเหล่านั้นไม่รู้ หรือไม่ก็ไม่ระมัดระวังตัวว่าจะตกเป็นเครื่องมือของใครในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แม้กระทั่งคนที่ทำหน้าที่ในการรักษาความสงบคือเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ก็อาจไม่ใส่ใจในเรื่องดังกล่าว มุ่งหน้าใช้กำลังและอำนาจอย่างเดียวนั้น การแก้ปัญหาย่อมไม่อาจยุติลงได้อย่างถาวร
สมัยนั้นมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ทั้งแทรกซึมและแทรกแซงเข้าไปในวงการต่างๆ เพื่อให้ทิศทางการทำงานไขว้เขวไปตามทิศทางที่ต้องการ ยิ่งใช้อำนาจปราบรุนแรงเท่าไรก็ยิ่งเป็นที่ถูกใจของคอมมิวนิสต์ที่อยู่ข้างหลัง เพราะได้ประชาชนมาเป็นพวก
บทเรียนจากอดีตดังกล่าวนี่เอง ที่ทำให้ผู้มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในยุคต่อๆ มา ได้ปรับวิธีการต่อสู้เดิมๆที่ผ่านมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งปรับแก้วิธีการที่มุ่งใช้กำลังคนและกำลังอาวุธเข้าจัดการอย่างเดียว โดยคิดว่าปัญหาการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์นั้น คือปัญหาที่คุกคามชาวบ้านด้วยอาวุธแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการอย่างนี้ ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่และทางราชการเพิ่มมากขึ้น เพราะชาวบ้านมองเห็นว่ากระทำเกินขอบเขตและไม่เป็นธรรม
และจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ได้เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 ที่ประเทศจีนเห็นความสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลมากกว่าพรรคต่อพรรค ทำให้จีนยุติความช่วยเหลือด้านวัตถุคืออาวุธยุทโธปกรณ์แก่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยลง ซึ่งเป็นช่วงที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.และเป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีการทบทวนนโยบายการแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติทั้งที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเกิดจากการสนับสนุนของคนภายนอก ให้มีความชัดเจนในทางปฏิบัติเพื่อประโยชน์แห่งการอยู่ร่วมกันของผู้คนในชาติ โดยออกคำสั่งนโยบายเพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชาติให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวได้ผ่านการทำงานของคณะนายทหารกลุ่มหนึ่งกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ได้ร่วมกันศึกษาพิจารณากับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
นั่นก็คือ คำสั่งที่ 66/23 และคำสั่งที่ 65/25
ทั้งสองคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางนโยบายแก่หน่วยปฏิบัติของทุกกระทรวง ทบวง กรม มีเนื้อหาสำคัญในแต่ละคำสั่งเกี่ยวข้องกับการต่อสู้และทำลายขบวนการของคอมมิวนิสต์ให้ยุติลงให้ได้ เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเปลี่ยนแนวทางต่อสู้ด้วยอาวุธมาเป็นการต่อสู้ในแนวทางสันติ โดยให้กลไกรัฐเป็นผู้นำในการทำประชาธิปไตย ให้เร่งดำเนินการในสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การมีส่วนร่วมในทางการเมือง การได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคของประชาชน โดยเฉพาะการแยกแยะผู้กระทำผิดทางกฎหมายออกมาให้ได้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เหมารวม
เมื่อคำสั่งดังกล่าวออกมาใช้ปฏิบัติ บุคคลจำนวนมากทั้งประชาชนทั่วไปและนิสิตนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่ผู้คนทั้งหลายได้รับข่าวสารจากพวกขวาจัด กล่าวหากล่าวโทษเรื่องความเป็นคอมมิวนิสต์หรือเป็นฝ่ายซ้าย และได้หลบหนีเข้าป่าไปอยู่ตามฐานที่มั่นต่างๆ ของคอมมิวนิสต์เพื่อความปลอดภัยของตนจากการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์อะไรกับเขา ได้มีโอกาสเดินทางออกจากป่ากลับบ้านเป็นจำนวนมาก
คนเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าใครหรือเผาบ้านเผาเมือง
มีความเห็นต่างในทางการเมืองการปกครองที่เป็นเผด็จการเท่านั้น และต้องการเห็นประเทศชาติบ้านเมืองของตนเป็นประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพและชอบธรรมในชีวิตความเป็นอยู่ พวกที่เดินทางออกจากป่ากลับมาอยู่บ้านได้อย่างเดิม ไม่ต้องถูกตามล่าตามล้างอย่างเลือดพล่านของเจ้าหน้าที่นั้น หลายคนกลับมาทำงานให้บ้านเมืองตามวิชาความรู้และประสบการณ์ของตน แม้กระทั่งเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองในขณะนี้
นี่คือผลแห่งการแก้ไขปัญหาชาติที่ไม่ใช้แต่เรื่องอำนาจและกำลังอาวุธและกำลังคนเป็นใหญ่ เป็นบทเรียนจากอดีตที่คิดว่ายังสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้ได้ เพื่อประโยชน์สุขร่วมกันของคนในชาติ
แต่ใครอยู่เบื้องหลังและใช้คนเป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดประโยชน์ตนและพรรคพวก ต้องจัดการอย่างเด็ดขาดด้วยกฎหมายที่มีอยู่เพื่อมิให้มีโอกาสสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติต่อไปอีก ไม่ว่าตัวการหรือตัวสนับสนุน
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี