“ผมได้เคยทักท้วงว่าสัญญาซื้อเรือดำน้ำลำแรกจากจีนแบบรัฐต่อรัฐ วงเงิน ๓.๖ หมื่นล้านบาท อาจเข้าข่ายสัญญาระหว่างประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ และมาตรา ๑๙๐
ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ เพราะมีผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินอย่างมีนัยสำคัญ ต้องเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน ถ้าลงนามไปอาจตกเป็นโมฆะ แนะนายกรัฐมนตรี “ประยุทธ์”ขณะนั้นการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๐ ถ้าไม่มั่นใจ สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนได้”
แต่ปรากฏว่านายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ไม่ดำเนินการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กลับให้พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ และคณะ เป็นผู้แทนผบ.ทร. เดินทางไปลงนามข้อตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำ ลำที่ ๑ ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล(จีทูจี) กับประเทศจีน ณ กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ ๔-๗ พ.ค. ๒๕๖๐ และกำลังจะดำเนินการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนอีกสองลำตามที่เป็นข่าวอื้อฉาวในบ้านเมืองที่ตกอยู่จะต้องใช้เงินแผ่นดินในเรื่อง “สงครามโควิด-19” มิใช่สงครามการสู้รบตามที่กองทัพเรืออ้างแต่อย่างใด
การทำสัญญาดังกล่าว อาจเข้าข่ายสัญญาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๑๗๘ เรื่องการทำสัญญากับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ เนื่องจากเป็นสัญญาระหว่างรัฐต่อรัฐ และยังได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและ “เงินสำรอง
เผื่อเหลือเผื่อขาด” ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณอีกจำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไปหลายปีงบประมาณเงินในปีนั้นๆ ในอนาคตอาจจะไม่พอจ่ายเพราะราคาเปลี่ยนไปตามภาวะเศรษฐกิจจึงต้องมีเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาดสำรองเอาไว้ จึงเป็นความเสี่ยงทางการคลังซึ่งล้วนเป็นการจ่ายเงินแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชนทั้งสิ้น และในกรณีที่รายได้จากภาษีอากรต่ำกว่างบประมาณรายจ่ายเป็นผลให้งบประมาณรายจ่ายปีนั้นๆ ขาดดุล รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อนำมาชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลหรือรายจ่ายสูงกว่ารายได้ กรณีจึงเห็นได้ชัดเจนว่า งบประมาณเพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำทั้งสิ้นมิใช่เงินของกองทัพเรือตามที่นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา และกองทัพเรืออ้างว่า เป็นของกองทัพเรือแต่ประการใด มิใช่เงินของกองทัพเรือตามที่อ้างแต่ประการใด
รัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ระบุไว้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการทําหนังสือสัญญาสันติภาพสัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศหนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอํานาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ
หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรีเขตศุลกากรร่วมหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือทําให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้มีกฎหมายกําหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จําเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทําหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย
เมื่อมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําขอ
อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐มาตรา ๑๙๐ ได้บัญญัติไว้ว่า “....หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพัน....หรือมีผลกระทบต่องบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา...” ที่ต้องนำมาใช้ในฐานะประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยประกอบมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐
กองทัพเรือได้ยืนยันเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่จะต้องจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ ๒ และ ๓ โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไปถึง ๗ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ ถึงปี ๒๕๖๙ รวมวงเงิน
ทั้งสิ้น ๒๒,๕๐๐ ล้านบาท แต่ไม่ได้ชี้แจงว่าแต่ละปีมีเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดเท่าไรและรวมทั้งหมดมีจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด และจำเป็นอย่างไรจึงต้องตั้งเงินจำนวนนี้ไว้
ผมจึงขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้ากองทัพเรือยังฝืนทำสัญญาซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนในลำที่ ๒ และ ๓ ในวงเงินทั้งสิ้น ๒๒,๕๐๐ ล้านบาท แทนที่จะนำมาใช้ในการป้องกันและผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากโรคโควิด อันเป็นการกระทำที่ผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทยและโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอีกด้วย
สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับการทำสัญญาซื้อเรือดำน้ำลำแรกที่ผมเคยได้ให้ความเห็นไว้ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี