ความจริงแล้วคอลัมน์วันนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่อง โลกยุคหลังความจริงต่อจากสัปดาห์ก่อน แต่พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ 19 ปี เหตุการณ์วินาศกรรมโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกาหรือเรียกกันสั้นๆ ว่า เหตุการณ์ 9/11 ก็เลยขอเปลี่ยนเป็นเขียนเรื่องราวของวันนี้เมื่อ 19 ปีก่อนแทน
นับแต่ปี 2002 เป็นต้นมา เมื่อถึงวันที่ 11 กันยายน ของทุกๆ ปี สิ่งหนึ่งที่ชาวอเมริกันนึกถึงคล้ายๆ กันก็คือ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (๒๕๔๔) เวลาประมาณเก้าโมงเช้าตอนที่เครื่องบินสองลำแรกพุ่งเข้าชนอาคาร World Trade Center พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน และสำหรับอเมริกันชนที่มีอายุสัก 50 ปีกว่าๆ ขึ้นไป นอกจากเรื่อง 9/11 แล้ว อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่พวกเขาจะถามคำถามเดียวกันนี้ก็คือ ตอนที่ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลอบสังหาร ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 (๒๕๐๖) เวลาประมาณ 12.30 น. เขากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนเช่นกัน
......โรงเรียน Emma E. Booker เมืองซาราโซต้า (Sarasota) รัฐฟลอริดา....เวลาประมาณ 08.50 น. ของวันที่11 กันยายน ค.ศ. 2001.....ขณะที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีคนที่ 43 ของสหรัฐ กำลังนั่งฟังนักเรียนชั้นประถมสองอ่านนิทานเรื่อง “The Pet Goat” (ลูกแพะที่น่ารัก) อยู่ในห้องเรียนของพวกเขา คาร์ล โรฟ(Karl Rove) ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการเมืองของบุชส่งข่าวมาบอกว่า“มีเครื่องบินพุ่งเข้าชนตึก World Trade Center ฝั่งเหนือ” วูบแรกบุชคิดในใจว่าคงเป็นอุบัติเหตุ ไม่ก็เป็นความผิดพลาดของนักบินหรือนักบินอาจจะเกิดหัวใจวายขึ้นมากะทันหันขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ บุชจึงยังคงนั่งฟังเด็กอ่าน ลูกแพะที่น่ารัก ต่อไป
สิบห้านาทีต่อมา แอนดริว คาร์ด (Andrew Card) หัวหน้าทีมงานประจำทำเนียบขาวเดินเข้ามาขัดจังหวะกลางชั้นเรียนแล้วไปกระซิบที่ข้างหูขวาบุชว่า “มีเครื่องบินอีกลำพุ่งชนอาคาร World Trade Center ฝั่งใต้ อเมริกากำลังถูกโจมตี”....บุชยังคงนั่งฟังเด็กอ่าน ลูกแพะที่น่ารัก ต่อไป พร้อมๆ กับพยายามรวบรวมสติ เก็บอาการทุกอย่างเพื่อไม่ให้สื่อมวลชนสังเกตเห็นเวลานั้นเสียงโทรศัพท์เครื่องมือสื่อสารของหลายๆ คนในห้องเริ่มส่งเสียงกันระงม ประมาณ 5 นาทีต่อมา บุชจึงออกมาจากห้องเรียน เพื่อรับฟังสรุปสถานการณ์และเตรียมตัวออกแถลงการณ์กับเหตุการณ์วินาศกรรมที่กำลังเกิดขึ้น ณ โรงเรียน Emma E. Booker นั้นเอง
......ประมาณ 09.00 น. ของวันเดียวกัน ที่โรงแรม St. Regisซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทำเนียบขาวไปทางทิศเหนือประมาณสามช่วงตึก จอร์จ เทเน็ต(George Tenet) ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง(CIA) กำลังนั่งทานอาหารเช้ากับ เดวิด โบเรน (David Boren)อดีตประธานกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภา และอดีตวุฒิสมาชิก รัฐโอกลาโฮมา พรรคเดโมแครตทั้งคู่รู้จักกันมากว่า 13 ปี
“ช่วงนี้ ลื้อ กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่” โบเรนถามเทเน็ต
“บิน ลาเดน” เทเน็ตตอบถึงสิ่งที่เขาครุ่นคิดตลอดสองปีที่ผ่านมาว่า บิน ลาเดน กำลังวางแผนทำบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่มากๆ
“เฮ้ย จอร์จ อั๊วได้ยินลื้อพูดเรื่องนี้มาสองปีแล้วนะ...มันจะเป็นไปได้ยังไง(วะ) ที่คนเพียงคนเดียว แล้วก็ไม่มีอาวุธ ยุทโธปกรณ์อะไรมาก จะเป็นภัยคุกคามของอเมริกาได้”....โบเรน
“Dave (ชื่อเล่นของโบเรน), เอ็งไม่เข้าใจ ลื้อประเมินศักยภาพของบิน ลาเดน ต่ำไปแล้ว”....เทเน็ต
ทันใดนั้น ทีมบอดี้การ์ดของเทเน็ตก็เดินกรูกันเข้ามาที่โต๊ะ หนึ่งในนั้นพูดว่า... เจ้านาย ครับ ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อาคาร World Trade Center ถูกโจมตี….พร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้เทเน็ต
“พวกมันขับเครื่องบินพุ่งเข้าชนตึก World Trade” เทเน็ตบอกโบเรน หลังจากวางหูโทรศัพท์
“มันต้องเป็นบิน ลาเดน..มันต้องอยู่เบื้องหลังงานนี้ แน่ๆ”เทเน็ตพูดกับโบเรนเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังสำนักงานใหญ่ CIA ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาที จากโรงแรม St. Regis เพื่อประชุมฉุกเฉินรับมือกับการก่อวินาศกรรมครั้งนี้
........กรุงลิมา เมืองหลวงประเทศเปรูซึ่งเวลาช้ากว่าที่นิวยอร์กและวอชิงตัน ดี.ซี. หนึ่งชั่วโมงขณะที่ พล.อ.คอลินท์ พาวเวลล์(Colin Powell) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐ กำลังนั่งทานอาหารเช้ากับ อเลจานโด้ โทเลโด(Alejandro Toledo)ประธานาธิบดีคนใหม่ของเปรู ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มประเทศทวีปอเมริกา ผู้ช่วยของพาวเวลล์ก็เดินรุดเข้ามาหาเขาพร้อมกับส่งข้อความในกระดาษที่ว่า “เครื่องบินสองลำได้พุ่งเข้าชนอาคารทั้งสองของ World Trade Center”
“สองลำต้องไม่ใช่อุบัติเหตุ แน่ๆ” พาวเวลล์นึกในใจพร้อมกับตัดสินใจออกจากการประชุมและเดินทางกลับทันทีหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น Air Force 3 ของรัฐมนตรีต่างประเทศ สหรัฐก็ทะยานมุ่งหน้ากลับประเทศบนเครื่องบินพาวเวลล์แทบไม่สามารถติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์กับทาง War Room ที่วอชิงตัน ดี.ซี.ได้เลยเพราะระบบการสื่อสารบน Air Force 3 นั้นผูกติดกับระบบสื่อสารของสหรัฐ ที่กำลังล่มอยู่ ตลอดระยะการบินเจ็ดชั่วโมงไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอีเมล พาวเวลล์กลายเป็นรัฐมนตรีเป็ดง่อยที่ไม่สามารถสั่งการอะไรได้เลย ในฐานะผู้นำอันดับสามของประเทศ
.... กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ช่วงบ่ายวันเดียวกัน บนสายการบิน Swissair Flight 128 อลัน กรีนสแปน (Alan Greenspan) ประธานธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเดินทางกลับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมนายธนาคารระหว่างประเทศที่สวิตเซอร์แลนด์ หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยประจำตัวกรีนสแปนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับบอกว่า “ท่านประธาน ครับ กัปตันต้องการพบท่านด่วน มีเครื่องบินสองลำพุ่งเข้าชนตึก World Trade Center” ในห้องนักบินกัปตันสรุปเหตุการณ์ที่สหรัฐ ให้กรีนสแปนฟัง.......
“เราต้องบินกลับซูริค (Zurich) แต่ผมจะไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงให้กับผู้โดยสารคนอื่นๆ รู้ ผมจะประกาศเพียงว่า ศูนย์ควบคุมการจราจรสั่งให้เราต้องบินกลับซูริค”
“เราบินไปลงแคนาดาได้ไหม ?” กรีนสแปนถามกัปตันซึ่งคำตอบที่เขาได้รับคือ “NO”
20.30 น. เวลาท้องถิ่น วันเดียวกัน กรีนสแปนกลับมาที่ ซูริคสวิตเซอร์แลนด์ อีกครั้ง กรีนสแปนรีบติดต่อ แอนดริว คาร์ด หัวหน้าทีมงานประจำทำเนียบขาว ให้จัดหาเครื่องบินมารับเขากลับวอชิงตัน ดี.ซี. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นกรีนสแปนก็บินกลับ ดี.ซี. อีกครั้งด้วยเครื่อง Air Force KC-10 taker เครื่องบินที่ใช้สำหรับการเติมน้ำมันกลางเวหา ซึ่งเป็นเพียงเครื่องเดียวที่คาร์ดสามารถหาให้กรีนสแปนได้ในตอนนั้น ขณะที่ Air Force KC-10 taker กำลังเข้าเขตชายฝั่งตะวันออกสหรัฐ กรีนสแปนก็เห็น เครื่อง F-16 สองลำบินเข้ามาประกบเจ้า KC-10 taker เพื่ออารักขาไอ้เจ้าถังน้ำบินได้เครื่องนี้ไปจนถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ตั้งธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งกรีนสแปนได้เรียกประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางที่นั้นทันที...เมื่อเขาไปถึง
....นี่เป็น บางตัวอย่างของเรื่องราวบุคคลผู้กุมนโยบายระดับสูงสุดของประเทศ ในช่วงเวลา นาทีแรกที่พวกเขารับรู้เหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้น....
แต่สำหรับเด็กอย่าง ลาซาโร ดูบร็อคคิว (Lazaro Dubrocq),นักเรียนประถมสองของโรงเรียน Emma E. Booker ผู้ซึ่งกำลังนั่งอ่านนิทานเรื่อง ลูกแพะที่น่ารัก ให้บุชฟัง จำได้เพียงแค่ว่า เห็นหน้าประธานาธิบดีบุชดูเหมือนกำลังตกตะลึงอะไรบางอย่าง ซึ่งลาซาโรคิดว่าตัวเขาคงต้องอ่านอะไรที่ผิดๆ ให้บุชฟังแน่ๆ เช่นเดียวกับ มารายห์ วิลเลี่ยม(Mariah Williams) เพื่อนร่วมชั้นอีกคนก็จำได้ว่า เห็นหน้าบุชกลายเป็นสีแดง ขณะที่แอนดริว คาร์ด กำลังกระซิบอะไรอยู่ที่ข้างหูของบุชอยู่
ปัจจุบัน มารายห์และลาซาโรเติบโตเป็นคนหนุ่ม-สาวอายุ 25-26 ปี สังคมอเมริกันจะเรียกคนรุ่นนี้ว่า “Generation 9/11” เด็กอเมริกันที่โตมาใน Generation 9/11 หลายคนมุ่งมั่นที่จะเข้าสถาบันหรือโรงเรียนทหาร (Military Academy) ไม่ก็จะไปเป็นพวกพนักงานดับเพลิง ตำรวจ หรืออาชีพที่บริการสาธารณะ งานที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้อื่น เพราะคนที่ประกอบอาชีพลักษณะเหล่านี้คือแบบอย่างที่น่ายกย่องสำหรับวัยรุ่นยุค Generation 9/11 อย่างพวกเขา
พูดถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ออกมาในช่วงปี ๒๕๔๕ ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกี่ยวกับพฤติกรรมของเยาวชนไทยที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับเยาวชนอเมริกันรุ่น Generation 9/11 ที่ได้ทำการศึกษาลักษณะเด็กไทยเพื่อนำมาวิเคราะห์ให้เห็นแนวโน้มที่จะเกิดกับสังคมในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ได้สรุปลักษณะของเด็กไทยในเวลานั้นมีอยู่ 12 ประการคือ....
1) สติปัญญาต่ำลง 2) อ่อนแอและเสพติดสิ่งต่างๆ3) อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง 4) หมกมุ่นทางเพศ 5) มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรม 6) ติดหลงในวัตถุ 7) เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ 8) ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี 9) ไม่มีความสุขกับการเรียนรู้ 10) ชอบลอกเลียนและหาความสำเร็จโดยไม่เลือกวิธีการ 11) ชอบเล่นการพนัน และ 12) ทำงานหนักไม่เป็น....
แน่นอน..เยาวชนไทยไม่ได้เป็นแบบนี้หมดทุกคนแน่ๆ และก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าข่าย 12 ข้อนี้เลย....แต่นับจากปี ๒๕๔๕ ถึงปัจจุบัน ผมไม่แน่ใจว่า คุณสมบัติ 12 ข้อนี้มันจะค่อยๆ ลดน้อยลงหรือยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในตัวคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเยาวชนไทย อเมริกันหรือชาติอื่นๆ
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เอกสารอ้างอิง
1.Bob Woodward. Bush at War. Simon & Schuster Paperback.New York. 2002.
2.Bob Woodward. Plan of Attack. Simon & Schuster Paperback.New York. 2004.
3.Alan Greenspan. The Age of Turbulence : Adventures in a New World. Penguin Books Ltd. London 2008.
4.Colin Powell and Tony Koltz. It Worked for Me: In Life and Leadership. HarperCollins Inc. New York 2012.
5.ไทยรัฐ วันที่ 28 สิงหาคม 2545. “เด็กไทยรุ่นใหม่ แนวโน้มน่าเป็นห่วง คุณสมบัติจะใกล้โจร”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี