เมืองไทยมีความน่าอัศจรรย์ใจปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ ล่าสุดเกิดปรากฏการณ์นักเรียนเลวขอโต้วาทีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการซึ่งสาธารณชนวิพากษ์ว่าการที่นักเรียนป่าวประกาศชื่อกลุ่มว่านักเรียนเลว ก็ถือว่าน่าสมเพชแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าเลว แล้วยังมีหน้าออกมาเรียกร้องกับสังคมอีก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง คนเลวต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ใช่เลวแล้วยังอุตส่าห์ออกมาเรียกร้องกับสังคม
แต่สังคมไทยยังมีสิ่งที่ตลกยิ่งกว่าเรื่องนักเรียนเลวคือ ประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แสดงตนให้สังคมตั้งคำถามว่ามีวุฒิภาวะเหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งถูกสาธารณชนวิพากษ์ว่าเป็นรัฐมนตรีขวดนมบ้าง รัฐมนตรีทารกบ้าง รัฐมนตรีละอ่อนโลกบ้าง กลับพาตัวไปโต้วาทีกับเด็กเลว จึงทำให้มีคำถามจากสังคมว่าเหตุใดรัฐมนตรีต้องโต้วาทีกับเด็กเลว หรือว่ากลัวเด็กเลวจะบุกรุกเข้าไปในกระทรวงศึกษาธิการหรือกลัวว่าคนอื่นจะมองว่ารัฐมนตรีไม่ให้เสรีภาพกับเด็กเลว ทั้งๆ ที่ข้อเรียกร้องทั้งหมดของเด็กเลวล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องส่วนตัวของนักเรียนทั้งสิ้น ขอย้ำว่าไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ของเด็กเลวเป็นประโยชน์สาธารณะแม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงเกิดคำถามจากสาธารณชนว่าระหว่างรัฐมนตรีกับเด็กเลว ใครมีสติปัญญามีวุฒิภาวะมากกว่ากัน แล้วก็มีคำถามด้วยว่า การที่รัฐมนตรียอมโต้วาทีกับเด็กเลว ทำให้สังคมได้ประโยชน์ประการใด อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะจากสาธารณชนว่า ถ้าหากรัฐมนตรียืนยันจะรับฟังข้อเรียกร้องของเด็กเลว ก็ไม่มีใครห้าม แต่ไม่สมควรลงไปโต้วาทีกับเด็ก เพราะไร้ประโยชน์ ขณะเดียวกันมีผู้ถามว่า การโต้วาทีกับเด็กเลว หากโต้แล้วชนะ รัฐมนตรีจะได้ผลดีอะไร แล้วถ้าหากโต้แล้วแพ้เด็ก รัฐมนตรีจะยังกล้าเสนอหน้ารับตำแหน่งต่อไปหรือ
วิญญูชนในสังคมไทยคาดหวังว่าผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทุกกระทรวงจำเป็นต้องมีสติปัญญาเป็นที่ตั้ง มีความชาญฉลาดเป็นฐานในการปฏิบัติหน้าที่ แล้วยิ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการด้วยแล้ว ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีสติปัญญามากเป็นพิเศษ เพราะเป็นผู้กำหนดนโยบายการศึกษาของชาติ ดังนั้นหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯของไทย มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ต้องไม่เสียเวลาไปต่อปากต่อคำกับเด็กเลว แต่หากจะรับฟังว่าเด็กเลวต้องการอะไร ก็ให้เด็กเลวส่งข้อเสนอเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วให้เด็กเลวเปรียบเทียบว่านโยบายการศึกษาข้อใดของกระทรวงศึกษาธิการที่เด็กเลวเห็นว่าล้าสมัย ไร้ประโยชน์กับสาธารณะ ก็ให้บอกให้ชัดแล้วพิจารณาว่าสิ่งที่เด็กเลวเสนอช่วยทำให้ทิศทางการศึกษาของไทยดีกว่าเดิมอย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่ หากข้อเสนอมีสาระควรแก่การนำไปปรับปรุงนโยบายการศึกษา ก็จึงนำเรื่องเหล่านั้นไปปรับใช้กับนโยบายการศึกษาต่อไป
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ โต้วาทีกับเด็กเลวแล้ว หากต่อไปในวันข้างหน้ามีกลุ่มเด็กดี เด็กพิเศษ เด็กล้ำโลกขอโต้วาทีกับรัฐมนตรีบ้าง รัฐมนตรีจะมีเวลาลงไปโต้วาทีกับเด็กทุกกลุ่มหรือไม่ หรือรัฐมนตรีอาจรู้ว่ากลุ่มเด็กดี มีปัญญาไม่ใช้การรวมตัวประท้วงที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ เพราะกลุ่มเด็กดีมีปัญญารู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการแสดงออกที่ไม่ได้บ่งบอกถึงสติปัญญา แต่ทำให้เสียเวลาการอ่านตำรับตำราค้นหาความรู้จากคลังปัญญาต่างๆ
คำถามที่วิญญูชนตั้งไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคือ เวลาคุยกับเด็กเลว คุยกันรู้เรื่องหรือ คุยแล้วได้สาระอะไรบ้าง แล้วรัฐมนตรีไม่รู้เลยหรือว่าข้อเสนอทุกข้อของเด็กเลวเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ได้ก่อผลประโยชน์ใดต่อสาธารณะ ขอย้ำว่ารัฐมนตรีจำเป็นต้องมีสติและต้องรู้ตัวตลอดเวลาว่าภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คือ การทำให้การศึกษาของชาติมีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับโลกได้ ส่วนการทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น รัฐมนตรีต้องไม่กระทำเป็นอันขาด โดยเฉพาะการทำเพื่อให้ตนเองคงอยู่ในตำแหน่ง โดยไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวมได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี