แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...
nn เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควรพออยู่ได้ เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป... (ความตอนหนึ่งจากพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม 2534)...
nn เวลาผู้ก่อเหตุประท้วงทางการเมืองถึงเวลาจนตรอกมักจะอ้างตลอดเวลาว่า การชุมนุมที่กลุ่มของพวกตนเรียกร้อง
ปลุกระดมนั้น จะมีความยิ่งใหญ่และมโหฬารอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ยิ่งคนพรรค์อย่างว่านั้นกล่าวอ้างถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ก็แปลความได้ว่า กาลอวสานของคนกลุ่มที่ว่านั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่บทอวสานที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมาจากน้ำมือของผู้ที่จงใจปลุกระดมมวลชนเองทั้งสิ้น...
nn มีคำถามว่า เหตุใดจึงมีความจงใจของกลุ่มผู้ปลุกระดมมวลชนต้องการให้มีการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 19 กันยายนนี้ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คำตอบจากคนบางกลุ่มที่เชื่อถือได้ เพราะมีประสบการณ์โดยตรงจากเหตุการณ์เดือนตุลาคมทั้งสองครั้ง แต่คนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ไม่เคยแสดงตัวตนทำนองยกหู ชูหาง ว่าตนเองคือแกนนำคนหนึ่งของการเคลื่อนไหวในเหตุการณ์เดือนตุลาคม คำกล่าวของคนในเดือนตุลาคมตัวจริงบอกว่า ผู้ก่อการปลุกระดมมวลชนในครั้งนี้ยังหลงติดอยู่กับภาพความยิ่งใหญ่ของพลังบริสุทธิ์ ที่ปรากฏในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือนตุลาคมปี 2516 แล้วยังสลัดภาพนั้นไม่ได้ จึงเกิดอาการหลงตัวเอง แล้วพยายามจะนำภาพของตัวเองลงไปทาบทับกับบุคคลในวันวาน ซึ่งการนำภาพของตัวเองลงไปทาบทับกับภาพประวัติศาสตร์ คือการบ่งบอกให้เห็นได้ชัดว่า จุดยืนของผู้ที่ต้องการทำตัวเองให้เหมือนกับเป็นผู้เคยอยู่ในประวัติศาสตร์นั้นเต็มไปด้วยความเลื่อนลอยและเพ้อฝัน...
nn นับเป็นเรื่องน่าตลกขบขันสิ้นดีเมื่อสาธารณชนได้ยินคนรุ่นใหม่ ที่มีอาการราวกับคนหลงตัวเอง ซึ่งทุรนทุรายอยากจะก่อการประท้วงทางการเมืองในวันที่ 19 กันยายน ออกมาระบุโดยไร้เหตุผลว่า หากเกิดความรุนแรงใดๆ ในการประท้วง ก็หมายความว่าความรุนแรงนั้นมีต้นเหตุมาจากรัฐบาล พร้อมกับเหมาว่า รัฐบาลสั่งใช้ความรุนแรงกับประชาชน แถมยังอ้างแบบปัดสวะว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ความสามารถเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ก่อเหตุประท้วง โดยต้อง
ไม่ให้บุคคลที่เป็นมือที่สามเข้าไปก่อความวุ่นวายและสร้างอันตรายใดๆ ให้กับผู้ชุมนุม...
nn คำกล่าวอ้างเช่นนี้ หากฟังแบบผิวเผินแล้ว ก็คงหลงคิดได้ว่าเป็นคำอ้างที่มีเหตุมีผลโดยสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งก็จะพบว่าผู้อ้างเช่นนี้เต็มไปด้วยความลุ่มหลงเพ้อเจ้อ แล้วที่สำคัญคือเต็มไปด้วยความไม่รับผิดชอบ ส่วนข้ออ้างใหญ่โตที่กล่าวว่าต้องการไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล แล้วเรียกร้องเชิงขู่บังคับให้ผู้มีอำนาจรัฐออกมารับเอกสารด้วยตัวเองนั้น ฟังดูแล้วก็ยิ่งน่าขบขัน เพราะเป็นการหลงตัวเองอย่างน่าสมเพช เนื่องจากยังคงหลงว่าตัวเองเป็นคนยิ่งใหญ่ ปัญหาที่ตัวเองชูขึ้นมานั้นเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงเสียเหลือเกิน ส่วนคำขู่ที่ดูเสมือนว่าไร้ปัญญานั้นก็คือ หากผู้มีอำนาจรัฐไม่ออกไปรับหนังสือร้องเรียนด้วยตัวเอง ก็ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งคำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดที่แสดงความไม่รับผิดชอบอย่างชัดเจน เพราะในเมื่อตัวเองเป็นผู้ก่อเหตุแล้วปลุกระดมให้มวลชนเดินทางไปยังที่แห่งใดก็ตาม ครั้นเมื่อเกิดเหตุใดๆ ขึ้นแล้ว กลับปฏิเสธความรับผิดชอบ แล้วโยนความผิดให้กับผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนี้คือพฤติกรรมของผู้ขลาดเขลาอย่างหาที่เปรียบเทียบไม่ได้...
nn ส่วนเรื่องที่ดูแล้วสามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นความเบาปัญญาของกลุ่มที่อ้างว่าต้องการปลดแอกก็คือ การอาศัยมือของ สส. ที่วิญญูชนประจักษ์ดีว่าเป็นพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้างผลาญชาติ และโกงบ้านกินเมือง โดยเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มผู้ปลุกระดมมวลชนร่วมมือกับ สส. ผลาญชาติ แล้วอ้างว่าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งต้องนับว่าเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เชิงอุบาทว์ ที่
ผู้ปลุกระดมมวลชนจะใช้มือของผู้ที่มีส่วนผลาญชาติเพื่อยกมือสนับสนุนความต้องการของตัวเอง เพราะวิญญูชนประจักษ์มาโดยตลอดว่าไม่เคยมีนักการเมืองและ สส.ผลาญชาติไหนรักและหวังดี รวมถึงเคยทำคุณประโยชน์อันใดให้กับประเทศไทยมาก่อน...
nn การที่กลุ่มผู้ปลุกระดมมวลชนสามารถจับมือและร่วมมือกับ สส.ผลาญชาติได้ ก็เท่ากับแสดงออกอย่างชัดเจนและโจ่งแจ้งว่า คนทั้งสองกลุ่มนี้คือคนจำพวกเดียวกัน ดังนั้น จึงทำให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า เคยมียุคไหนหรือสมัยไหนหรือที่คนผลาญชาติจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสามานย์ของตนแล้วกลายมาเป็นผู้สร้างชาติได้ เรื่อง พรรค์อย่างนี้ถือได้ว่า เป็นพฤติกรรมของคนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวโดยแท้...
nn หากจะว่าไปแล้ว สส. บางคนของประเทศไทยก็ดูเสมือนว่ามีตรรกะวิบัติ และหนึ่งในจำนวนนั้นที่ถูกวิพากษ์เช่นนี้ได้แก่ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคก้าวไกล ซึ่งอุตส่าห์ได้ตำแหน่งโฆษกคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาให้ข่าวว่าการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในวันที่ 19 กันยายนนี้ อาจมีผู้ร่วมชุมนุมถึงหนึ่งแสนคน แล้วยังคาดการณ์ในทำนองเสมือนยั่วยุว่าอาจมีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดคำถามจากวิญญูชนว่า สถานการณ์ต่างๆ ที่รังสิมันต์คาดการณ์ไว้นั้น หมายถึงสถานการณ์เชิงบวกหรือลบ แล้วถ้าหากคนที่สวมหมวก สส. คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เชิงลบไปประเทศของตนเอง แล้วจะยังสนับสนุนให้เกิดสถานการณ์เชิงลบต่อไปใช่หรือไม่ แต่มีผู้ตั้งคำถามที่น่าสนใจมากกว่าคือ สส. ที่คาดการณ์เช่นนั้นเข้าไปในสวนร่วมสนับสนุนส่งเสริมหรือผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติหรือเหตุความรุนแรงภายในประเทศด้วยหรือไม่ หรือว่าพฤติกรรมสนับสนุนความรุนแรงยังคงฝังอยู่ในมโนสำนึกของผู้เป็น สส.จำพวกนิยมความรุนแรงแต่ชอบเสแสร้งแสดงว่าเป็นผู้รักความสงบซึ่งก็มีผู้วิจารณ์ต่อไปว่าคนพรรค์อย่างนี้คงรักความสงบและความปลอดภัยเฉพาะตัวเอง แต่ไม่เคยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่นๆ ที่ถูกกลุ่มของตัวเองปลุกปั่นให้ออกไปก่อเหตุความวุ่นวายให้บ้านเมือง...
nn ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้เกิดความคิดเห็นของผู้คนในสังคมไทยแบ่งเป็นสองซีกคือฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้แก้ไข แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการให้แก้ไข เพราะไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นต้นเหตุของปัญหาใดๆ ทางการเมือง เรื่องนี้หากพิจารณาในเชิงเกมการเมืองแล้ว ต้องถือว่าเป็นการชิงไหวชิงพริบของนักการเมืองและผู้มีอำนาจรัฐ ส่วนกลุ่มคนที่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องกดดันต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าอีกฟากฝั่งหนึ่งก็มีสิทธิ์ที่จะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องประณามกันและกันว่าต่างฝ่ายต่างเล่นการเมือง เพราะเล่นการเมืองด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ยังมีตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ สว. เพราะถ้าหากเมื่อถึงวันพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลาอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ หากเกิด สว. ไม่ยกมือสนับสนุน ทำให้ไม่สามารถตั้ง ส.ส.ร. ได้ หากเกิดปรากฏการณ์นี้จริงๆขึ้นมา รัฐบาลจะอ้างได้หรือไม่ว่าตัวเองไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของ สว. ส่วน สว. จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นตัวปัญหาในการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่ามาจากมุมมองของคนฝั่งไหน คนฝั่งที่ไม่ต้องการแก้ไขและธรรมนูญ ต้องชื่นชม สว. อย่างแน่นอน แต่อีกฝั่งต้องระดมด่าอย่างแน่นอน ส่วนใครจะอ้างว่ารัฐบาลเล่นเกม ก็มีสิทธิ์อ้างเช่นนั้น แต่ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลก็มีสิทธิ์เล่นเกมเช่นกัน ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่อยากสูญเสียอำนาจรัฐแม้กระทั่งรัฐบาลที่โกงบ้านกินเมืองจนถูกคนล้มไปแล้วก็ยังอยากจะกลับมามีอำนาจรัฐ...nn
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี