ในที่สุดการแต่งตั้งผู้บริหารกรมภาษีในกระทรวงการคลังก็ยุติลงด้วยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา นี้โดยมี 2 ตำแหน่งที่สำคัญคือ นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิตที่ย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร และนายลวรณแสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตแทน
วัดกันตามเม็ดเงินภาษีที่จัดเก็บได้ กรมสรรพสามิตถือเป็นกรมจัดเก็บรายได้ที่มีความสำคัญในลำดับที่ 2 รองจากกรมสรรพากร โดยเก็บภาษีเพียง 20 กว่าชนิด แต่ภาษีสรรพสามิตกลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เช่น น้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการประกอบธุรกิจการขนส่ง การกระจายสินค้า นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผู้แข่งขันรายใหญ่ 2 ราย ในประเทศที่มีคอนเนคชั่นชั้นดีกับรัฐบาล และโยงให้ไปถึงสุราชุมชนที่เกี่ยวข้องกับประชาชนรากหญ้าในชนบทจำนวนมหาศาล ยังมีอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้สร้างงานจากชิ้นส่วนต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมยาสูบที่ถูกผูกขาดโดยรัฐบาลเอง คือการยาสูบแห่งประเทศไทย ตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตจึงมีความสำคัญและต้องเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายการเมืองอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจากโรคระบาดไวรัสโควิด-19 การกำหนดนโยบายภาษีสรรพสามิตจะส่งผลต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการบินที่กำลังเจ็บหนักจากการปิดประเทศมาต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนเพราะต้องเสียภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน หรือกระทั่งอุตสาหกรรมน้ำตาลและยาสูบซึ่งเกี่ยวพันกับภาษีความหวานและภาษีบุหรี่ ที่ต้นน้ำคือเกษตรกรชาวไร่อ้อย 47 จังหวัด และชาวไร่ยาสูบกว่า 20 จังหวัด นับหมื่นครอบครัว ยังไม่นับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกี่ยวข้องกับรากหญ้าจำนวนมหาศาลดังที่กล่าวไปแล้ว หรือแม้กระทั่งผู้บริโภคยาสูบและยาเส้นกว่า 10 ล้านคนและผู้บริโภคสุราเกือบ 16 ล้านคน
ในอดีตเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในภาวะปกติ รัฐขึ้นภาษีสรรพสามิตเพื่อหารายได้เพิ่ม ผู้บริโภคก็อาจลดการบริโภคลงบ้างเล็กน้อยผู้ประกอบการก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าในภาวะไม่ปกติ การจะขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าและบริการ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเพราะจะทำให้สินค้าแพงขึ้นในช่วงที่ประชาชนจำนวนมากตกงาน ขาดรายได้ ผู้ประกอบการก็คงอยู่ไม่ได้ เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายขณะที่รายได้ก็ลดลงไปมาก
เมื่อซ้ายสุดก็ไปไม่ได้ ขวาสุดก็ไม่ดี นโยบายภาษีสรรพสามิตคงต้องอยู่ตรงกลาง หาสมดุล และตอบโจทย์ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ได้ โดยไม่มีใครได้มากไปและไม่เสียมากเกินไปจังหวะนี้คงต้องมานั่งดูแผนระยะยาวว่าถ้าขึ้นภาษีปีนี้ ปีหน้าไม่ได้ ในระยะยาวจะทำได้ไหม อย่างไร เพื่อให้ประเทศยังคงมีรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการใช้เงินกู้ซึ่งไม่มีความยั่งยืน
นี่เป็นความท้าทายของฝั่งการเมืองโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐและกุนซือของกระทรวงการคลัง ที่จะกำหนดนโยบายภาษีสรรพสามิตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อไม่กระทบต่อการสนับสนุนจากเครือข่ายธุรกิจประชารัฐและจาก NGO ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใน 2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ก็ต้องจับตาว่าที่อธิบดีกรมสรรพสามิตคนใหม่ นายลวรณ ว่าจะแสดงความเก๋าได้ขนาดไหน
ไม่ว่าตัวรัฐมนตรีว่าการ ช่วยว่าการ หรืออธิบดีจะเป็นใครถ้าการทำงานของทุกภาคส่วนภายในกระทรวงการคลังมีความเป็นเอกภาพ มุ่งเน้นการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่มุ่งขูดรีดภาษีระยะสั้น แต่เน้นการสร้างรากฐานเศรษฐกิจให้เข้มแข็งในระยะยาว ก็จะสามารถช่วยเรียกความนิยมกลับคืนมาให้รัฐบาลได้ไม่น้อย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี