ศาสน์ เป็น 1 ใน 3 ของอุดมการณ์ชาติไทย ที่คนไทยทุกคนได้รับการสั่งสอนให้จดจำกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งเราต่างก็ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อาจเป็นเพราะชีวิตประจำวันของคนไทยก็อยู่กับศาสนากันเป็นปกติ ไม่ว่าจะด้วยการสวดมนต์เป็นประจำ รวมทั้งการที่ถูกแวดล้อมไปด้วยวัดวาอาราม โบสถ์ และสุเหร่า
เด็กๆ เมื่อเติบโตมากขึ้น ก็เริ่มเรียนรู้ว่า ทุกคนนั้นต่างนับถือศาสนา และมีการปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาตนเอง อย่างศาสนาพุทธนั้น นอกจากสวดมนต์แล้ว ก็ยังมีการทำบุญตักบาตรการไปทำพิธีต่างๆ ที่วัด ฟังบทสวดมนต์และฟังเทศน์คำสั่งสอนจากพระภิกษุสงฆ์ ส่วนศาสนาอื่นๆ ต่างก็มีพิธีกรรมกันไปตามคำสั่งสอนและประเพณีปฏิบัติตามแนวทางของตน
มนุษย์ไม่ว่าจะชาติพันธุ์ใด ต่างมีการนับถือศาสนา หรือความเชื่อถือแต่โบร่ำโบราณกันทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคนไทย โดยเมืองไทยของเราถือเป็นเมืองแห่งศาสนามาช้านาน ศาสนาจึงนับเป็นของคู่บ้านคู่เมือง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวไทย บ่งบอกว่าประชาชนชาวไทยนั้นมุ่งใช้ชีวิตที่อยู่ในศีลในธรรม หรือนัยหนึ่งอยู่กับและอยู่ด้วยคุณงามความดี ทั้งต่อตนเองและสังคมแวดล้อม
ศาสนานอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ก็ยังเป็นวิถีชีวิตของบ้านเมืองอีกด้วย กล่าวคือ บ้านเมืองนั้นมีพิธีการทางศาสนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สังคมนั้นจะอยู่กันด้วยศีลและธรรม และความถูกต้องชอบธรรม
เมื่อผู้คนแต่ละคน รวมกันนับถือศาสนา นั่นจึงหมายความว่า ต่างมีคำมั่นสัญญาที่จะประพฤติตนให้อยู่ในครรลองที่ถูกต้องที่เป็นธรรม เป็นสัญญา เป็นข้อผูกมัดต่อตนเอง และต่อสังคมร่วมกัน
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะในสังคมใดๆ ก็มักจะมีพวกนอกรีต นอกศาสนา ละเมิดคำสอนศาสนา และบิดเบือนศาสนา ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของหมู่มวลมนุษย์ที่จะต้องมีคนเลวปะปนอยู่กับคนดี
แม้คนเลวๆ จะมีจำนวนน้อย แต่หากคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนดี กลับไม่ประสงค์จะมีเรื่องมีราวหรือไม่อยู่ในฐานะจะไปต่อกรกับคนเลวๆ ได้ ก็จะส่งผลให้กลุ่มคนเลวได้ใจ ได้คืบเอาศอกไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วสังคมก็จะตกอยู่ในสภาวะที่คนเลวครองเมือง เพราะคนเลวนั้นไม่มีความละอายไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่เกรงกลัวกฎหมาย คนส่วนใหญ่จึงตกเป็นเบี้ยล่าง ต้องทนกับความทุกข์ทรมานใจ จนเมื่อทนอัดอั้นไม่ไหว ก็จะออกมารวมตัวเคลื่อนไหว ประท้วง เรียกร้อง และคัดค้าน อันเป็นการต่อสู้ใช้สิทธิเพื่อปกป้องความถูกต้อง แต่ก็มักจะไม่เป็นผล เนื่องจากพละกำลังนั้นไปสู้อำนาจมืดที่ไร้ยางอายมิได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้รับผิดชอบบ้านเมือง ซึ่งมีอยู่หลักๆเพียง 2 กลุ่ม นั่นคือกลุ่มผู้ปกครอง และกลุ่มผู้นำทางศาสนา
ที่ผ่านมา แม้ฝ่ายผู้ปกครองจะออกมาช่วยมวลชนปกป้องศีลธรรม และความดีงามในสังคมตามอำนาจหน้าที่ แต่ก็มักจะขาดความสม่ำเสมอ และความเอาจริงเอาจัง ซึ่งประเด็นปัญหาก็คือ ขาดความเด็ดเดี่ยวของจิตใจ ทั้งๆ ที่ฝ่ายผู้ปกครองมักเรียกร้องให้ผู้คนรัก “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” แต่ตนเองกลับไม่ประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม
ที่สังคมไทยยุ่งเหยิง มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เต็มไปด้วยการใช้อำนาจโดยมิชอบต่างๆ นานา มากมายมหาศาล นั่นก็เพราะเราทำเพียงแค่ท่องแต่คำว่า “ศาสน์” ขึ้นใจ แต่มิได้ปฏิบัติกันจริงจัง
ดังนั้น ประชาชนก็คงต้องหวังพึ่งอุดมการณ์ว่าด้วย “ศาสน์” ให้มาเป็นแนวหน้าในเรื่องนี้ ซึ่งบรรดาผู้นำทางศาสนาต่างๆ นั้น จะไปมัวสนใจแต่งานพิธีกรรมแต่อย่างเดียวมิได้อีกต่อไป หากต้องออกมาช่วยกันชี้แจงหลักธรรมต่างๆ ออกมาเตือนสติผู้นำประเทศ และผู้คน โดยเฉพาะในเรื่องการดำรงไว้ซึ่งจริยธรรมในการปกครอง
ก็ถึงเวลาแล้วที่ “ศาสนา” จะต้องเป็นทั้งอุดมการณ์ และเป็นทั้งวิถีชีวิต นำพาประเทศให้ก้าวหน้า
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี