ประเด็นเรื่องหมุดของแกนนำผู้ชุมนุม 19-20 ก.ย.2563 จะไม่เป็นภาระของสังคม ไม่เป็นคดีต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันต่อไปอีกเลย ถ้าไปทำกันที่สถานที่ส่วนบุคคล ไม่ไปรุกล้ำโบราณสถานอย่างสนามหลวง
นี่ยังไม่นับพิธีกรรมแบบมั่วๆ คึกคักครื้นเครงกันเองในหมู่ “ผู้มีปม”
แต่น่าเวทนา น่าสังเวช ในสายตาของวิญญูชนทั่วไป
ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมือง มีสภาพไม่ต่างกับ “เด็กเล่นขายของ”
แถมกลับกลายเป็นการไปดึงเอา “คณะราษฎรของจริง 2475”ให้พลอยแปดเปื้อน ถูกด้อยค่าอย่างไม่สมควร
ทั้งหมด จะโทษใครอื่นไม่ได้ นอกจาก “ผู้อยู่เบื้องหลัง” คนที่ชักใย บงการ คอยให้ท้ายการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน
1. แฟนเพจ “ปราชญ์ สามสี” ถึงกับบอกว่า “เมื่อคณะราษฎรเสื่อม เพราะ คณะคนเสื้อแดง”
ระบุว่า การแจกหนังสือปกแดงก็ดี การวางหมุดคณะราษฎรที่สองก็ดี พบว่า เป็นเพียงการพยายามพิธีทำให้เหมือนประวัติศาสตร์คณะราษฎรฉบับย่อ รวบรัดตัดทอน จำลองเอาเหตุการณ์ 2475 แบบหลวมๆ เพียงแต่การนำเสนอนั้นเลือกที่ใช้วิธีโจมตีรัฐบาลปัจจุบัน ทหาร และใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์
“...การที่ปักหมุด ของคณะราษฎรที่สอง ด้วยการกระทำแบบงาน ทุนต่ำเกรดบี มันกลายเป็นการทำลายความขลังของหมุดคณะราษฎรในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วยิ่งผนวกกับ พิธีลงอาคมที่ใช้แม้แต่พราหมณ์เทียมและการสวดแบบไม่มีในตำราใดในโลกเขาทำกันอย่างนี้ เทพอารักขาตนใดจะพิทักษ์รักษา?
โดยปกติแล้วเวลาจะทำการใหญ่ เช่นนี้ “ของมันต้องถึง” “บารมีมันต้องได้”การเคลื่อนไหว ของ แก๊งจตุพร สมัยเสื้อแดงปี 2553 ยังดูมีบารมีน่าเกรงขามไฟจะมาฟ้าจะถล่ม ก็ดูมีความน่าหวาดหวั่น
ในอดีต แม้ว่าคณะราษฎร จะชิงสุกก่อนห่ามและลามปามพระมหากษัตริย์อย่างไม่น่าให้อภัย แต่สิ่งหนึ่งที่ คณะราษฎรเองมีข้อต้องพูดถึง คือ ความน่าเกรงขามบารมีในการเคลื่อนไหวก็ มีความสง่างามอยู่ และ ความชาญฉลาดในการเดินเกมที่รู้จักในการวางแผน ได้แยบยล ซึ่งไม่สามารถหาได้ในม็อบคนเสื้อแดงและเพนกวิ้นในเวลานี้ ...”
2. เกี่ยวกับเรื่องหมุดคณะราษฎร 2475 นั้น คุณวินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ เคยเขียนเล่าเกร็ดข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว (18 เมษายน 2017)
วิเคราะห์ให้เห็นว่า เรื่องหมุดคณะราษฎรนั้น มันเกี่ยวอะไรกับมนตร์ดำไสยศาสตร์หรือไม่?
ระบุว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะหมุด 2475 เกิดขึ้นหลังการก่อการ
“...เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 รัชกาลที่ 7 ทรงปฏิเสธทางเลือกให้สู้ และปีถัดมาเมื่อเกิดกบฏบวรเดชคณะราษฎรก็ยังคงดำรงอำนาจได้มั่นคง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มนตร์ดำอะไร ตั้งแต่2476 ถึง 2490 อำนาจก็ยังคงเป็นของคณะราษฎร แม้ว่าภายในคณะราษฎรจะแตกร้าว จนเมื่อเกิดรัฐประหาร 2490 ก็สิ้นสุดคณะราษฎรโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ทฤษฎีเรื่องไสยศาสตร์ ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็พิสูจน์ว่าไม่ได้ผล
... หลังจากคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสำเร็จ กรมพระนครสวรรค์ฯเสด็จออกนอกประเทศ ไปประทับที่บันดุง อินโดนีเซีย ไม่ได้กลับแผ่นดินเกิดอีก รัชกาลที่ 7 ก็ทรงสละราชสมบัติไปประทับที่ประเทศอังกฤษและสวรรคตที่นั่น สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือคณะผู้ก่อการซึ่งมีบทบาทเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนั้นก็พบชะตากรรมเดียวกัน
ปรีดี พนมยงค์ถูกขับออกไปอยู่ฝรั่งเศสในปี 2476 แล้วกลับมา และหลังรัฐประหาร 2490 และกบฏวังหลวง 2492 ก็ลี้ภัยที่ต่างแดน ไม่ได้กลับบ้าน
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกฯคนแรก ลี้ภัยที่ปีนัง
สี่ทหารเสือ พระยาพหลฯ ไม่ได้ลี้ภัย แต่ตายอย่างยากไร้ ไม่มีเงินค่าทำศพ
พระยาฤทธิอัคเนย์ลี้ภัยที่มลายู
พระยาทรงสุรเดชถูกเนรเทศไปอยู่ในกรุงพนมเปญ โดยไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมกล้วยขายและรับจ้างซ่อมจักรยาน ถึงแก่อนิจกรรมในปี 2487 ที่กรุงพนมเปญ
พระประศาสน์พิทยายุทธถูกไล่ไปเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกรัฐประหาร 2500 ลี้ภัยที่ญี่ปุ่น ไม่ได้กลับบ้าน
ประยูร ภมรมนตรี ถูก “เนรเทศ” ไปอยู่ต่างประเทศ
และอีกหลายท่าน
ตอนรีเสิร์ชประวัติศาสตร์เพื่อเขียนเรื่อง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ปีกแดง ผมก็ค่อนข้างแปลกใจเมื่อเจอข้อมูลนี้ แน่นอน ถ้าเราจะโยงข้อมูลจริงเหล่านี้กับเรื่องมนตร์ดำหรือกรรม ก็ย่อมทำได้ และมีสีสันมาก แต่ผมไม่เชื่อเช่นนี้เลย
ผมวิเคราะห์ออกด้วยคำคำเดียว – อำนาจ
อำนาจเป็นของร้อน เมื่อได้มาก็ต้องร้อนรุ่ม ต้องแย่งกัน ต้องฆ่ากัน
เหตุการณ์การลี้ภัย เข่นฆ่ากันทางการเมือง ฆ่าเพื่อน ฆ่าพี่น้อง ฆ่าอาจารย์ ก็ล้วนเป็นผลมาจากการแย่งชิงอำนาจทั้งสิ้น
แต่ผมไม่ใช่คนแรกที่วิเคราะห์อย่างนี้ คนแรกที่พูดเรื่องนี้คือกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งคณะราษฎรจับเป็นตัวประกันในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ผู้ที่ไป “จับตัว” ก็คือคนสนิท ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี แกนนำของคณะราษฎร
มีบันทึกเหตุการณ์นี้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นบทสนทนาระหว่างกรมพระนครสวรรค์วรพินิตกับ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี ขอยกมาจากนวนิยาย น้ำเงินแท้ ข้อความทั้งหมดมาจากบันทึก ดังนี้ :
ทรงกริ้ว รับสั่งเสียงหนักแน่นว่า “ตาประยูร แกเป็นกบฏ โทษถึงต้องประหารชีวิต” ร.ท.ประยูรบอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้ล้มพระราชบัลลังก์ ถ้าข้าพระพุทธเจ้าทำการสำเร็จ ใต้ฝ่าพระบาทไม่มีอันตรายแต่ประการใดพ่ะย่ะค่ะ”
“มีรับสั่งถาม “พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ต้องการอะไร? มีความประสงค์อะไร? ต้องการปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม?” ร.ท.ประยูรกราบทูลว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ”ทรงนิ่งชั่วครู่ แล้วรับสั่งถามว่า “แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร?”ร.ทประยูรกล่าวว่า “อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนียพ่ะย่ะค่ะ”
“ทรงถามว่า ร.ท.ประยูรอายุเท่าไร ร.ท.ประยูรกราบทูลว่า 32 ก็รับสั่งว่า “เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมาร้อยห้าสิบปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ?”
“ร.ท.ประยูร กล่าวว่า “ก็ทรงปกครองให้ประชาชนงมงายกันตลอดมานับร้อยนับพันปี จะมาเอาดีหวังการยึดอำนาจการปกครองในวันนี้ให้ลงรูปลงรอยราบรื่นไปทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ คงจะต้องยึดอำนาจกันต่อไปอีกหลายยก เรื่องคอนสติติวชั่นและสภาปาลีเมนต์มันก็เริ่มกันสักวันหนึ่ง ถ้าไม่นับหนึ่งก็ไปนับสิบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินงานวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”“แกเรียนอะไรมา?” ร.ท.ประยูรตอบว่า “เรียนรัฐศาสตร์จากปารีสพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ! มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปียร์ ดันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีนเฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม? ฉันสงสารฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบฏ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้”...”
นี่ก็คือคำที่กรมพระนครสวรรค์วรพินิตตรัสไว้ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และก็เป็นจริงตามนั้น อำนาจไม่เคยเข้าใครออกใคร
เพราะอำนาจก็คือมนตร์ดำที่ร้ายกาจที่สุด!...”
3. มันจึงเป็นเรื่องไร้สาระมาก ที่การเคลื่อนไหวในยุคปัจจุบัน พยายามบิดเบือน ดัดแปลงประวัติศาสตร์ เพื่อโน้มกิ่งไปโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน เสมือนหนึ่งเป็นต้นเหตุทุกอย่างในบ้านเมืองเวลานี้
ยิ่งพยายามเชื่อมโยงกับรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 อ้างเหมือนทักษิณว่า ประเทศไทยหลังรัฐประหาร 14 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น ยิ่งบิดเบือนอย่างชั่วร้าย
ความจริง บ้านเมืองพัฒนาไปไกลมาก ยิ่งปัจจุบันยิ่งไปไกลกว่าเดิม
ทั้งระบบรถไฟ ระบบราง สนามบิน บ้านคนยากจน คนมีรายได้น้อย ฯลฯ
เอาแค่ระบบราง รถไฟทางคู่ ก็ขยายเพิ่มเติมไปกว่าพันกิโลเมตร รถไฟฟ้าเมืองหลวงเปิดเพิ่มอีกหลายสาย จ่อเปิดอีกมากมาย ถนนหนทางอีกนับไม่หวาดไม่ไหว ฯลฯ
การใช้หนี้โครงการที่โกง ก็เดินหน้ามาไกล เช่นเดียวกับคดีโกง
ทักษิณก็มีคดีและโทษจำคุก ที่คดีถึงที่สุดแล้วติดตัวยาวเป็นหางว่าว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี