แม้ขณะที่เขียนบทความนี้ ยังไม่ทราบมติของที่ประชุมรัฐสภา ว่าจะเปิดทางตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ หรือไม่? อย่างไร?
แต่ในการประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา สส.ที่อภิปรายได้อย่างโดดเด่น น่าสนใจที่สุดได้แก่ นายชุมพล จุลใส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชุมพร พรรคประชาธิปัตย์
ด้วยจุดยืนที่ชัดเจน กล้าหาญ สวนทางกับพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์เอง
นับว่า สส.ชุมพล จุลใส เป็น “ดาวเด่น” ในการประชุมพิจารณาญัตติเสนอแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ อย่างแท้จริง
สส.ชุมพลได้อรรถาธิบายอย่างเป็นระบบ ถึงวิธีคิด เหตุและผล ปรากฏการณ์การเมืองนอกสภา กับปัญหาการเมืองไทยในภาพรวม ข้อพิจารณาต่อญัตติแก้รัฐธรรมนูญนี้ ก่อนชี้ชัดว่า ไม่รับทุกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เป็นคำอภิปรายที่ฉายภาพการเมืองชัดเจน แน่นหนัก บนฐาน “สภาพความเป็นจริงของการเมืองไทย”
เนื้อหาใจความสำคัญ ควรที่จะบันทึกไว้เผยแพร่ต่อไป ดังนี้
“.... ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับญัตติที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกร่างที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ ซึ่งแยกออกได้เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก ที่มีความประสงค์ชัดเจนว่าจะยกเลิกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้สภาร่างรัฐธรรมนูญร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับคือเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ
กลุ่มที่ 2 เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เช่นญัตติเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มแรกที่จะยกเลิกรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน แล้วร่างขึ้นใหม่ทั้งฉบับ
ส่วนตัวมีความเห็นเหมือนกับประชาชนทั้ง 16.8 ล้านคน ที่ลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีอยู่แล้วเหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศในขณะนี้
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้กำหนดไว้ว่า นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลบริหารประเทศจะต้องเป็นบุคคลพิเศษมีคุณลักษณะเหมาะสมที่พรรคการเมืองได้กลั่นกรองแล้วเสนอชื่อ ให้ประชาชนพิจารณาก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไป ทำให้ประชาชนได้รู้จักประวัติผลงานต่างๆ ก่อนการเลือกตั้งเป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาคนไทยส่วนใหญ่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยความตั้งใจที่จะให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ
คนที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันนั้นตัดสินใจอยู่ 2 แนวทาง คือ เอาประยุทธ์ กับไม่เอาประยุทธ์
ถ้ารัฐธรรมนูญไม่บัญญัติบังคับไว้ แม้เลือกตั้งผ่านไปประชาชนก็ไม่รู้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกใคร ต้องลุ้นกันจนถึงวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี
ส่วนตัว มีประสบการณ์อยู่ในบรรยากาศของการลงคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2550 เลือกตั้งทั่วไปครั้งเดียว มีเหตุให้สภาชุดนั้นเลือกนายกรัฐมนตรี 3 ครั้ง
ครั้งแรก สภาผู้แทนราษฎรลงคะแนนเสียงข้างมากเลือกนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่ง ก็เลือกนายกรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมาก เลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อนายสมชายพ้นตำแหน่ง ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร
ปรากฏเสียงข้างมากลงคะแนนเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ 3 ครั้งที่เกิดปัญหาฝ่ายแพ้ไม่ยอมแพ้
อ้างว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ไม่ชอบธรรม ทั้งๆ ที่ สภาชุดเดิมสส.ชุดเดิมในสภาเดิมเป็นผู้ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีเหมือนกันทั้ง 3 ครั้ง หลังจากนั้น ได้เกิดเหตุจลาจลในบ้านเมือง ปิดล้อมอาคารรัฐสภา ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน นำกำลังติดอาวุธออกมาเข่นฆ่าประชาชนตายกันเป็นร้อย เผาบ้านเผาเมือง ทำให้ประเทศเสียหายอย่างรุนแรง
ประสบการณ์ครั้งล่าสุดของตน ได้ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภานี้ ลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
วันนั้น ถ้าจำกันได้ เป็นการแข่งขันกันระหว่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ปรากฏว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี 251 คน เลือกนายธนาธร 224 คน
ผลจากการลงคะแนน พลเอกประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดกระบวนการนอกสภาออกมาเคลื่อนไหวโจมตีว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯเผด็จการ
นี่ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องของฝ่ายแพ้แล้วไม่ยอมแพ้
เหตุการณ์นี้ เหมือนกับเหตุการณ์ในอดีตที่ฝ่ายสนับสนุนพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก เมื่อลงคะแนนในสภาและแพ้นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ระดมกำลังกันก่อเหตุนอกสภา ต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ทั้งนายอภิสิทธิ์และพลเอกประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามระบอบรัฐสภาโหวตเลือกนายกฯแข่งกันในสภา เมื่อฝ่ายตนแพ้ก็โจมตีฝ่ายชนะว่าเป็นนายกฯเผด็จการ
ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่าก็เพราะแพ้เลือกตั้ง แพ้การลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าหากฝ่ายตนชนะในการเลือกตั้งก็จะไม่พูดว่าเลือกนายกฯโดยไม่ชอบธรรมหรือนายกฯเป็นเผด็จการ
สิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าจำได้ในสมัยปี 2554 เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่ตนอยู่ในสภาแห่งนี้มา
รัฐบาลในขณะนั้น ได้ใช้เสียงข้างมากในการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ไม่ฟังเสียงใครออกมาเพื่อล้างผิดให้นายทักษิณ ชินวัตรและพวกพ้อง ให้พ้นผิดจากทางอาญา นั่นคือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ฟังเสียงประชาชน ในที่สุดประชาชนหลายคนออกมาประท้วงต่อต้านยาวนานถึง 7 เดือน ส่วนตัวก็เป็นคนหนึ่งที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปเป็นแกนนำ ต่อสู้ร่วมกับประชาชน เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้ร่างขึ้นโดยกำหนดกฎเกณฑ์ในการปกครองบ้านเมืองเพื่อแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองแบบในอดีตอีก เพราะได้พบเห็นจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้นมาโดยมีบทบัญญัติต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ประชาชน 16.8 ล้านคน พร้อมใจกันลงมติให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ใช้มา 3 ปีแล้ว ประชาชนเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต แก้ปัญหาเผด็จการรัฐสภา
มาวันนี้ ส่วนตัวมองไม่เห็นเลยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอะไรที่บกพร่องเสียหายจนต้องฉีกทิ้ง ยกเลิก แล้วร่างขึ้นมาใหม่ หากมีความบกพร่องไม่สมบูรณ์ใดๆในทางการเมืองหรือการปกครองในขณะนี้ ก็เป็นเรื่องของคนเป็นเรื่องของนักการเมืองเป็นเรื่องของพรรคการเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่ความบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ในแง่ตัวบทกฎหมาย ส่วนตัวเห็นว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ บทที่ 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอนุญาตให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราใดมาตราหนึ่ง แต่ไม่ใช่เขียนขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ
ส่วนตัวเห็นว่า ญัตติที่ให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันย่อมทำไม่ได้แน่นอน
ญัตติแก้ไขมาตรา 272 ส่วนตัวเข้าใจดีว่ามีความประสงค์ต้องการไม่ให้สมาชิกวุฒิสภาออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี โดยข้อเท็จจริงมาตรา 272 เป็นมาตราหนึ่ง ในบทเฉพาะกาลมีผลบังคับใช้เฉพาะ 5 ปีแรกเท่านั้น เมื่อพ้น 5 ปีแรกไปแล้ว สมาชิกวุฒิสภาทั้งหลายหมดสิทธิ์ที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี การเลือกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตามมาตรา 159 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่จะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ
แต่ว่ากันไปแล้ว ส่วนตัวก็ไม่ค่อยสนใจว่าสมาชิกวุฒิสภาจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ เพราะในทางปฏิบัติ ใครจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสนับสนุนเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎรต่อให้สมาชิกวุฒิสภา 250 คน ลงคะแนนให้ ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสนับสนุนไม่ถึงครึ่งก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่กี่น้ำ วันใดเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนนั้น และก็พร้อมใจกันยกมือไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณวาระแรกแพ้มติกฎหมายสำคัญก็ต้องลาออก ยุบสภา จบสนิท เป็นได้เดือนเดียว
ส่วนตัวเห็นว่า มาตรา 272 จะมีหรือแก้ไข หรือยกเลิก ไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระสำคัญสำหรับตนในขณะนี้
วันนี้ ผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดชุมพร และพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ แสดงความคิดเห็นในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญแทนประชาชน
ภูมิใจที่ได้พูดแทนประชาชนด้วยความจริงใจ ด้วยความสุจริตใจ
ส่วนตัวทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 114ทำหน้าที่ผู้แทนของปวงชนชาวไทย ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติมอบหมายของใคร ไม่ได้ถูกใครครอบงำ ไม่อยู่ภายใต้กระแสกดดันของม็อบการเมืองกลุ่มไหน ส่วนตัวทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนชาวไทย ด้วยสำนึกรับผิดชอบ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเห็นว่าสิ่งที่ตนพูดมาทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
ส่วนตัวไม่รับทุกร่างที่ เสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้...”
นี่คือเนื้อหาสาระสำคัญในการปราศรัยของ สส.ลูกหมี-ชุมพล จุลใส
ไม่หวั่นว่าจะถูกพรรคคาดโทษ ถูกเพ่งเล็ง ถูกกีดกันบทบาทการทำงานต่อไป หรือถูกบูลลี่ (Bully) ถูกรุมถล่มในโลกออนไลน์ หรือถูกป้ายสีว่าเป็นพวก
สนับสนุนเผด็จการ
คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย อย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี