พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายกรรมต่างวาระกันที่สำคัญมีดังนี้
ครั้งแรกได้ตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันในงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๐ ที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๑๔๔ และคณะรัฐมนตรีอนุมัตินำไปเพิ่มรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในงบกลาง และยังได้ตราพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายจากส่วนราชการต่างๆไปเพิ่มรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่กระทำไม่ได้ตามกฎหมายวิธีการ
งบประมาณ เพราะจะโอนได้ต้องเฉพาะการโอนระหว่างส่วนราชการเท่านั้น จึงทำให้งบกลางรายการนี้เพิ่มมากขึ้นทำให้ใช้จ่ายไม่หมดทันปีงบประมาณนั้นๆ จึงได้กันเงินรายจ่ายงบกลางดังกล่าวไว้ใช้ไปจนถึงวันสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๓
ครั้งที่สอง ในการแปรญัตติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ในวาระที่สองและสาม ที่สภาได้เห็นชอบไปเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓เพื่อส่งให้สว. พิจารณาต่อไปนั้น ปรากฏว่าร่างนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญในวาระที่สองได้แก้ไขปรับลดจำนวนเงินที่สภาผู้แทนเห็นชอบในหลักการในวาระที่หนึ่งที่ตั้งไว้เป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ปรับลดเหลือเป็นจำนวน ๓,๒๘๕,๙๖๒,๔๗๙,๗๐๐ บาทอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๑๔๔ และข้อบังคับการประชุมสภา ที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเฉพาะในวาระที่สองกรรมาธิการไม่มีอำนาจไปแปรญัตติจำนวนเงินที่สภาเห็นชอบขัดแย้งต่อหลักการวาระแรกได้ไม่ว่าในการเพิ่มจำนวนเงินหรือตัดลดจำนวนเงินที่สภาได้เห็นชอบในวาระแรกไปแล้ว
ครั้งที่สาม คณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุมัติเงินทุนสำรองจ่ายที่ตั้งไว้ ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๔๕ โดยได้ใช้จ่ายไปแล้ว ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ก่อนวันที่จะเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทน ในกรณีที่นำไปใช้จ่ายนี้จะต้องตั้ง “งบประมาณรายจ่ายชดใช้” ตามจำนวนที่จ่ายไป คือ ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อสมทบทุนนี้ไว้ในโอกาสแรกตามมาตรา ๑๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติไว้ว่า “...ในกรณีจำเป็นรีบด่วนจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ ต้องตั้งชดใช้..................ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป”
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๐ ประกอบด้วยกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๔๕ เป็นบทบังคับจะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ไม่อาจที่เลื่อนไปตั้งในงบประมาณปี ๒๕๖๕ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณชี้แจงได้แต่อย่างใด การไม่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ จึงเป็นการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
หลักการและเจตนารมณ์ในการจัดให้มีเงินทุนสำรองจ่ายไว้เป็นครั้งแรกกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ แก้ไขเพิ่มเติมปี ๒๕๐๓ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาทนี้ เป็นข้อเสนอแนะของท่านอาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ได้สร้างวินัยการคลังที่ดีไว้ในกฎหมายวิธีการงบประมาณ เพื่อที่ฝ่ายบริหารได้นำไปใช้จ่ายในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนไปก่อนที่จะก้าวล่วงไปใช้อำนาจมาตรา ๗ ของกฎหมายเงินคงคลังที่ไม่กำหนดเพดานไว้ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน ถ้าเงินทุนสำรองจ่ายไม่พอจึงเป็นเหตุผลให้ไปใช้มาตรา ๗ ที่ไม่ได้กำหนดเพดานไว้ได้
แต่การตั้งไว้ ๑๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ และเป็นวงเงินตายตัวมาตลอด แต่ความจำเป็นเร่งด่วนที่ผ่านมามีจำนวนเงินที่สูงขึ้นทุกปีเกินกว่าวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท บางปีเพิ่มขึ้นเป็น
กว่าหมื่นล้านบาท คณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาจึงไม่ได้ใช้ ๑๐๐ ล้านบาท มาหลายปีแล้ว เพราะไม่พอเพียงกับความเร่งด่วนที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงต้องนำหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๗ ของกฎหมายเงินคงคลังมาใช้ตลอดมา
แต่เจตนารมณ์ที่ดีของการมีเงินทุนสำรองจ่ายแต่เดิมยังคงมีอยู่ที่จะต้องรักษาไว้ จึงได้เพิ่มวงเงินเป็น ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ฉบับใหม่ตามที่กล่าวมาแล้ว
ในความเห็นของผู้เขียนเห็นด้วยกับการเพิ่มวงเงิน แต่ควรเพิ่มให้เป็นพลวัตรสัมพันธ์กับวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยการกำหนดเป็นสัดส่วน เช่นร้อยละ ๕ ของงบประมาณประจำปี เป็นต้น
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี