คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทุจริตสินบนบ้านเอื้ออาทร ได้รับความสนใจมาก เพราะคดีนี้ยืดเยื้อยาวนาน โดยฝ่ายจำเลยพยายามอ้างว่าตนเองไม่ผิด เสียงแข็งมาโดยตลอด ขณะที่การดำเนินคดีในชั้นอัยการก็ใช้เวลาเนิ่นนานกว่า 10 ปี จนคดีเกือบจะไม่ได้ไปถึงชั้นศาล
แต่สุดท้าย เมื่อคดีไปถึงชั้นศาล ก็ได้พิจารณาไต่สวนคดีอย่างต่อเนื่อง เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ฝ่ายจำเลยก็ยอมรับกระบวนการต่อสู้คดี ใช้สิทธิเต็มที่ ไม่หนีไปไหน
ในที่สุด ศาลฎีกาฯ ก็มีคำพิพากษาว่า ฝ่ายจำเลยมีความผิดจริง ลงโทษจำคุกนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยรัฐบาลทักษิณ รวม 99 ปี แต่ตามกฎหมายจำคุกได้สูงสุด 50 ปี
ขณะนี้ นายวัฒนาได้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดีต่อ โดยอยู่ระหว่างเตรียมคำขอยื่นอุทธรณ์ต่อไป
1.ตัวละครโดดเด่นในคดีนี้ ได้แก่ นายวัฒนา เมืองสุข เสี่ยเปี๋ยง และนายอริสมันต์
เสี่ยเปี๋ยง ทุกคนคงรู้จักดีถึงพิษสง จากคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขณะนี้ติดคุกอยู่ในเรือนจำ
แต่คอการเมืองจริงๆ จะทราบว่า เสี่ยเปี๋ยงมีบทบาทในการวิ่งเต้นหากินตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณแล้ว
เสี่ยเปี๋ยงเคยให้สัมภาษณ์เปิดเผยไว้เองว่า ตนรู้จักกับนายวัฒนา เมืองสุข ผ่านการแนะนำของนายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่สมัยที่นายวัฒนาเป็นรองเลขาธิการนายกฯ ก่อนที่นายวัฒนาจะได้เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และต่อมาค่อยโยกมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯในภายหลัง
เสี่ยเปี๋ยง คือ เจ้าของบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริฯ ที่เข้าไปประมูลข้าวจากโครงการจำนำข้าวยุคทักษิณ เป็นลอตใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยนั่นเอง และต่อมา เสี่ยเปี๋ยงก็คือเจ้าของสยามอินดิก้า ที่เข้าไปร่วมทุจริตข้าวจีทูเจี๊ยะ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง
กระทั่งคำพิพากษาคดีทุจริตสินบนบ้านเอื้ออาทร ได้เปิดให้เห็นบทบาทและความเกี่ยวพันระหว่างนายวัฒนากับเสี่ยเปี๋ยงอีกครั้งหนึ่ง
2.คำพิพากษาคดีทุจริตสินบนบ้านเอื้ออาทร จำเลยมี 14 ราย
ประเด็นที่น่าสนใจในคำพิพากษาที่ควรเป็นบทเรียนแก่สังคม อาทิ
2.1 ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยชี้ชัดว่า ฟ้องของโจทก์ (อัยการสูงสุด) ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มีอำนาจฟ้องถูกต้อง
ดังนั้น ข้อที่อ้างกันว่าเป็นผลพวงรัฐประหารต่างๆ นานา เลิกพูดได้แล้ว เพราะมีบรรทัดฐานไว้ชัดเจนแล้ว
ที่สำคัญ ข้อมูลข้อเท็จจริงที่นำมาสู่การกล่าวหาดำเนินคดีนี้ ก็ไม่ได้เป็นข้อมูลเท็จที่ใส่ร้ายป้ายสีเลย
2.2 ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า มีขบวนการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการตามฟ้อง มีการดำเนินการลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำเป็นขบวนการ อย่างมีระบบอันเป็นความผิดตามฟ้อง เกิดขึ้นจริง
2.3 จำเลยที่ 4 (เสี่ยเปี๋ยง) เป็นตัวกลางที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในขบวนการของกลุ่มในการเรียกเงินจากผู้ประกอบการรายใหญ่ เรียกว่า ค่าที่ปรึกษา เป็นเพียงการให้เงินดังกล่าวนำไปลงบัญชีได้
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า เสี่ยเปี๋ยงอ้างอำนาจในตำแหน่งของจำเลยที่ 1 (นายวัฒนา) โดยติดต่อในลักษณะข่มขืนใจ หรือจูงใจแก่ผู้ประกอบการ ที่ประสงค์เข้าดำเนินการโครงการบ้านเอื้ออาทร ให้นำเงินมามอบให้เพื่อตอบแทนการได้รับอนุมัติหน่วยก่อสร้าง และเข้าทำสัญญาเป็นผู้จัดทำโครงการบ้านเอื้ออาทรขายให้แก่การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตามสัดส่วนที่ได้จ่ายเงินให้
จำเลยที่ 5 (น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง ลูกน้องคนสนิทเสี่ยเปี๋ยง) ซึ่งเป็นเลขานุการเสี่ยเปี๋ยง และเป็นพนักงานของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ, จำเลยที่ 6 (น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว พนักงานบริษัท เพรซิเดนท์ฯ) และจำเลยที่ 7 (น.ส.รุ่งเรือง ขุนปัญญา พนักงานบริษัท เพรซิเดนท์ฯ) เคยเป็นแม่บ้านที่บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ได้รู้เห็นมาแต่ต้น และทำหน้าที่เป็นผู้โทรศัพท์ติดตามทวงถามเงินจากผู้ประกอบการ รวมทั้งรับเช็คมาจากผู้ประกอบการเพื่อให้ได้เงินครบจำนวนเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้
เสี่ยเปี๋ยงกับลูกน้อง จึงนับว่าได้ร่วมกันกระทำความผิด
ขณะที่จำเลยที่ 8 (บริษัท เพรซิเดนท์ฯ) นิติบุคคล ที่มีเสี่ยเปี๋ยงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน และมีการนำเงินเข้าบริษัท ก็มีสถานะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย
2.4 นายวัฒนา (เสี่ยไก่) ผิด เพราะอะไร?
จำเลยที่ 1 (นายวัฒนา เมืองสุข) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (ขณะนั้น) มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
แม้นายวัฒนากำหนดแนวทางในการจัดซื้อโครงการบ้านเอื้ออาทรใหม่ และมีบันทึกข้อความลงวันที่17 ต.ค. 2548 สั่งให้แก้ไขข้อ 3 ของประกาศ กคช. ฉบับลงวันที่ 14 ต.ค. 2548 แต่ศาลฎีกาฯ ก็ไม่ได้ชี้ว่าเรื่องนี้เป็นการแทรกแซงการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ (บอร์ด) กคช. ไม่ได้ผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157
แต่ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า นายวัฒนามีความผิดฐานร่วมข่มขืนใจหรือจูงใจแก่ผู้ประกอบการให้นำเงินมอบให้ตนเองหรือผู้อื่น เพื่อตอบแทนการที่ กคช. อนุมัติให้ได้เข้าทำสัญญา
ศาลฎีกาฯ เห็นว่า แม้นายวัฒนาอ้างว่ารัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับงานด้านนโยบายและตนเอง เกี่ยวข้องเฉพาะการปรับปรุงประกาศฉบับใหม่ หรือ TOR ก็ตาม แต่ลักษณะการกระทำความผิดในคดีนี้เป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 4-7 (เสี่ยเปี๋ยงและลูกน้อง) ซึ่งเป็นเพียงบุคคลภายนอกจะสามารถกระทำการได้เอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสี่ยเปี๋ยงไม่อาจแสดงตนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เชื่อถือได้ว่ามีฐานะเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของนายวัฒนาได้เอง อีกทั้งเสี่ยเปี๋ยงย่อมไม่มีอำนาจผลักดันให้ผู้ประกอบการที่ตกลงจ่ายเงินได้รับอนุมัติหน่วยก่อสร้างทุกรายได้ดังที่เกิดขึ้นจริงในคดีนี้
นอกจากนี้ นายวัฒนาน่าจะรู้ข้อเท็จจริงที่มีการรับเงิน เพราะเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก และเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอย่างแพร่หลายในช่วงเวลานั้น ประกอบกับนายวัฒนาเข้าไปกำกับดูแลการจ่ายเงินล่วงหน้า ย่อมมีผลเป็นการเร่งรัดให้มีการจ่ายเงินล่วงหน้าอยู่ในตัว
ศาลฎีกาฯ ระบุพฤติการณ์บ่งชี้ว่า เป็นการเร่งรัดและเพิ่มจำนวนเงินล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเงินล่วงหน้าที่ได้รับมามอบให้แก่เสี่ยเปี๋ยง เมื่อมีการเรียกรับทรัพย์สินก็ต้องถือเป็นความผิดแล้ว การที่นายวัฒนาจะเรียกเงินจากผู้ประกอบการด้วยตนเองหรือไม่ ย่อมไม่ใช่ข้อสำคัญ
ศาลฎีกาฯ จึงพิเคราะห์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายวัฒนาร่วมรู้เห็นเป็นใจในการข่มขืนใจหรือจูงใจแก่ผู้ประกอบการให้นำเงินมอบให้ เมื่อการกระทำของนายวัฒนาในส่วนนี้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว ไม่จำต้องปรับบทตามมาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก
2.5 วัฒนา เสี่ยเปี๋ยงและลูกน้อง ร่วมกันกระทำความผิด 11 กรรม 11 กระทง
การกระทำของจำเลยที่มีความผิดนั้น เป็นการกระทำในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการแต่ละราย ต่างวันเวลา และต่างสถานที่แยกกันต่างหากจากกัน เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ดังนั้น จำเลยที่ 1, 4, 6 และ 8 มีความผิดฟ้องรวม 11 กรรม
นายวัฒนา เมืองสุข ต้องโทษกระทงละ 9 ปี เมื่อ 11 กระทง จึงเป็นโทษจำคุก 99 ปี
เสี่ยเปี๋ยง ต้องโทษกระทงละ 6 ปี เมื่อ 11 กระทง จึงเป็นโทษจำคุก 66 ปี
แต่ตามกฎหมาย สามารถลงโทษได้จริงไม่เกิน 50 ปี
2.6 นายอริสมันต์ผิดเพราะอะไร?
คดีนี้ เคยปรากฏว่า มีพยานให้การยืนยัน โดยนางชดช้อย ผู้ประกอบการบริษัทเอกชน เบิกความว่า บริษัทได้เข้าร่วมโครงการบ้านเอื้ออาทรกับการเคหะแห่งชาติได้ติดต่อนายอริสมันต์ให้ช่วยหาที่ดิน ซึ่งนายอริสมันต์ได้แนะนำเสนอที่ดินในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 6 แปลง ซึ่งนายอริสมันต์แจ้งว่าหากได้รับการอนุมัติให้ร่วมโครงการต้องจ่ายค่าดำเนินการให้ผู้ใหญ่ 40 ล้านบาท และ 7.6 ล้านบาท เป็นค่านายหน้า โดยมีที่ดิน 2 แปลงผ่านหลักเกณฑ์ให้ทำโครงการได้จึงทำการซื้อจำนวน 2 แปลง ภายหลังที่บริษัทได้รับการอนุมัติให้ทำโครงการ ก็มีผู้โทรศัพท์เข้ามาอ้างชื่อนายวัฒนา ทวงถามเงินค่าดำเนินการอนุมัติโครงการจำนวน 40 ล้านบาท เงินจำนวนดังกล่าวยืนยันมีการจ่ายจริงโดยตนได้เป็นผู้ดำเนินการแทนเจ้าของที่ดิน
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า จำเลยที่ 10 (นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย) เคยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีคนก่อน ได้พูดยุยงส่งเสริมเพื่อช่วยในการตัดสินใจของนางชดช้อยให้เกิดความมั่นใจที่จะมอบเงินให้แก่ผู้มารับเช็คไป อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิดของขบวนการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการ แม้ผู้ร่วมกระทำผิดในขบวนการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการ จะรู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกของจำเลยที่ 10 หรือไม่ก็ตาม แต่ถือว่าจำเลยที่ 10 (นายอริสมันต์) เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามฟ้อง
คดีนี้ นายอริสมันต์ถูกลงโทษจำคุก 4 ปี 1 กระทง
แต่นายอริสมันต์หนีคดีไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ โดยที่เจ้าตัวมีโทษจำคุก 4 ปี คดีบุกล้มประชุมอาเซียนติดตัวอยู่อีกคดีด้วย
2.7 อดีต บอร์ด กคช.-และหน้าห้องนายวัฒนารอด เหตุข้อเท็จจริงไม่แน่ชัด
จำเลยที่ 2 (นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตบอร์ด กคช. และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการระหว่างวันที่ 9 ก.ย. 2548 – 19 ก.ย. 2549)
จำเลยที่ 3 (นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีต ผอ.ฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน)) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หน้าห้องรัฐมนตรีจำเลยที่ 1 (นายวัฒนา)
จำเลยที่ 9 (บริษัท ซิลเวอร์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ไทย เฉน หยู อินเตอร์เนชั่นแนลคอนสตรัคชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) โดยนางพิมพ์วรา รัชต์ธนโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน) จำเลยที่ 11 (บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด) จำเลยที่ 12 (บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด) จำเลยที่ 13 (บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด) และจำเลยที่ 14 (น.ส.สุภาวิดา คงสุข กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน บริษัท ไทยเฉนหยูฯ) ที่เป็นผู้ประกอบการนั้น รอดพ้นความผิด
2.8 ศาลฎีกาฯ สั่งริบทรัพย์ และให้นายวัฒนา เสี่ยเปี๋ยงและพวกชำระเงินแทน
ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือบุคคลได้มาจากการกระทำความผิดในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อมีการรับเงินมาจากการกระทำผิดแล้ว ได้โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นหลายบัญชี และมีการเบิกถอนเงินสดด้วย เชื่อว่าโดยสภาพของเงินที่ได้รับมาไม่สามารถส่งมอบหรือคืนได้ อันเป็นการที่แสดงให้เห็นว่า การติดตามเอาคืนกระทำได้ยากเกินสมควร จึงให้จำเลยผู้มีหน้าที่ต้องส่งชำระเป็นเงินแทนตามมูลค่าของเงินที่ศาลสั่งริบ โดยให้จำเลยที่ 1 (นายวัฒนา), 4 (เสี่ยเปี๋ยง), 6 (น.ส.กรองทอง) และ 8 (บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ) ร่วมกันชำระเป็นเงินแทนตามมูลค่าจำนวน 1,323,006,750 บาท
จำเลยที่ 5 (น.ส.รัตนา) ร่วมชำระจำนวน 763,197,000 บาท
จำเลยที่ 7 (น.ส.รุ่งเรือง) ร่วมชำระ 1,056,267,000 บาท
และจำเลยที่ 10 (นายอริสมันต์) ร่วมชำระจำนวน 40 ล้านบาท
2.9 สรุปโทษจำคุกตามคำพิพากษา
จำคุกนายวัฒนา จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 99 ปี ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี
จำคุกเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 66 ปี ให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี
จำคุกนายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 เป็นเวลา 4 ปี
จำคุก น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 20 ปี, น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว จำเลยที่ 6 เป็นเวลา 44 ปี, น.ส.รุ่งเรือง จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 32 ปี ปรับจำเลยที่ 8 บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ กว่า 2 แสนบาท และ ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 9, 11-14
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี