แม้ว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มปลดแอกได้ยุติลงแล้ว เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา แต่หลายสิ่งที่ผู้ชุมนุมได้กระทำผิดกฎหมายเหิมเกริม มีวาระซ่อนเร้น ทะลุเพดานรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
กระนั้นก็ตามในการชุมนุมนั้นมีหลายประเด็นที่เป็นข้อเรียกร้องย่อย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงรับฟัง เช่นเรื่องความหลากหลายทางเพศ เรื่องการปลดแอกสุรา การห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะความไม่ชัดเจนในกฎหมายห้ามประชาชนโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงสื่อโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งทรงผมนักเรียน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้แสดงออกถึงความอึดอัด และการกดทับกลุ่มคนบางกลุ่มเอาไว้โดยไม่มี พื้นที่ให้เขาได้แสดงออกรวมถึงการถูกลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานที่พวกเราควรมีควรได้รับ เมื่อมีโอกาสในการชุมนุมซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ เราจึงได้เห็นประเด็นข้อเรียกร้องและคนที่ต่างกลุ่มเหล่านี้ มารวมตัวโดยมีจุดหมายเดียวกันคืออยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าปัจจุบัน
จริงๆ แล้วประเด็นข้อเรียกร้องและพื้นที่กดทับมิได้จำกัดแต่เพียงเรื่องเหล่านี้เท่านั้น ยังมีประเด็นสาธารณะอื่นๆ ที่มีคนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่มีโอกาสเลือก ไม่มีโอกาสถกเถียง ไม่มีโอกาสแสดงออก ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น เช่น ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่อยากเห็นการควบคุมสินค้าให้ถูกกฎหมายแทนที่การแบน กลุ่มผู้ผลิตคราฟเบียร์รายย่อยที่ต้องการให้มีการเปิดกว้างในเรื่องการผลิต หรือ ผู้ใช้จักรยานยนต์สองล้อ ที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในกฎจราจร สิ่งที่เหล่านี้เป็นประเด็นสาธารณะที่ต้องการถกเถียง การแลกเปลี่ยนความเห็น การนำหลักฐานใหม่ๆ มาประกอบการกำหนดนโยบาย มิใช้การกดทับด้วยการห้ามหรือการแบนด้วยอำนาจรัฐ
น่าเสียดายที่ประเด็นที่ผู้ชุมนุมได้แสดงออกรวมถึงประเด็นอื่นๆที่ถูกกดดันไม่ได้รับความสนใจแก้ปัญหาจากรัฐสภาเท่าที่ควร เมื่อมีพรรคการเมืองหรือแกนนำที่เริ่มให้ความสำคัญและสนใจกับประเด็นเหล่านี้จึงทำให้ผู้คนที่ถูกกดดันต่างเทใจและให้การสนับสนุน แม้ว่าจะไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่องที่กลุ่มการเมืองหรือแกนนำต่างๆ ผลักดันก็ตาม
ระบบราชการและรัฐสภานั่นเองที่ผลักไสให้ประชาชนเหล่านี้ต้องใช้ท้องถนนและการชุมชนเป็นพื้นที่ในการแสดงออกถึงประเด็นสาธารณะที่เขาต้องการให้มีการแก้ไข เป็นการผลักดันให้ประชาชนต้องเลือกข้างหรือยืนตรงข้ามกับฝ่ายอำนาจรัฐ
ณ วันนั้น คำตอบคือการใช้การเมืองนำการทหารดังนั้นมันจะเป็นการดีอย่างยิ่งที่รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มต่างๆ ที่มีความเดือดร้อน ถูกกดทับมาเป็นเวลานานจากอำนาจรัฐ หรือกติกาไม่เป็นธรรม ได้มีพื้นที่ที่เขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจและรับฟังอย่างสร้างสรรค์โดยไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อน หรือแสดงออกผ่านการชุมนุมบนท้องถนน
ประเทศไทยควรใช้ระบบรัฐสภาและกลไกต่างๆมาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเหล่านี้ในเชิงรุก พรรคการเมืองต้องเปิดกว้างรับฟังความเห็นจากกลุ่มผลประโยชน์ทุกฝ่ายทุกกลุ่ม เพื่อนำเสนอนโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหาและจัดสรรทรัพยากรที่มีคุณค่าไปสู่กลุ่มคนต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมยกตัวอย่างกรณี พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เพื่อปลดล็อกการผลิตสุราพื้นบ้าน ที่มีการผลัดกันร่างฯ เข้าสู่สภา เปิดโอกาสให้กลไกของระบบรัฐสภาได้เข้ามาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาการถูกบีบคั้นจากความไม่เป็นธรรมในสังคม
เราจึงได้แต่หวังว่าระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภายังเป็นที่พึ่งหลักให้คนเหล่านี้ได้ มิเช่นนั้นการเมืองไทยคงไม่ได้จบอยู่เพียงแค่ในรัฐสภา แต่ต้องกลายมาเป็นการเมืองบนท้องถนนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี