“บุคคลแนวหน้า” ใน “หนังสือพิมพ์แนวหน้า สื่ออุดมการณ์มั่นคง ตรงไป ตรงมา”www.naewna.com นำเสนอข้อเท็จจริงความจริงทุกบรรทัดทุกตัวอักษรฉบับนี้“ไม้หน้าสาม” ชวนจับกระแส สถานการณ์โรคติดเชื้อ “ไวรัสโควิด-19” ที่ยังมีโอกาสกลับมาระบาดระลอกสองในไทย หากสังคมไทย “ชะล่าใจ-การ์ดตก”...nnเสียงเตือนจากแพทย์ใหญ่จากโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศหลายคนส่งสัญญาณดังมาเป็นระยะๆ ทว่าไม่ “สำเหนียก” จนก่อให้เกิด “สามัญสำนึก” กับ “หัวหมู่คณะก้าวหน้า” นักการเมืองคนรุ่นใหม่ที่โลภและโหยหิวอำนาจ ยังเดินหน้าเรียกร้องปลุกเร้าเพื่อระดมปลุกปั่นยุวชนเยาวชนและประชาชนออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ โจมตีโค่นล้มรัฐบาล และสถาบันหลักของชาติ อ้างสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่แท้จริงเฉกเช่นสหรัฐฝรั่งตาน้ำข้าวแม่แบบดินแดนแห่งเสรีภาพโดยไม่แยแสต่อรากเหง้าวัฒนธรรมอันงดงามของประเทศชาติแผ่นดินเกิด ไม่เคารพบูชากราบไหว้ อ้างสิทธิความเท่าเทียมของมนุษย์ ละทิ้งระบบคุณธรรมวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ความกตัญญูรู้คุณ กลับมุ่งเน้น “อารยธรรมตะวันตก” เป็นพิมพ์เขียวปลุกเร้าคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยศึกษาสังเคราะห์ประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างถ่องแท้เป็นแนวร่วม...
nn ข้อมูลจาก “ดร.เอกภพ เหล่าลาภะ” บางส่วนชี้ให้เห็นว่า คนไทยถูกฝรั่งชาติตะวันตกครอบงำมาช้านาน ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันไทยเสียหาย นับแต่ปี 2503 รัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยการสนับสนุนของมูลนิธิฟอร์ดและมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ได้ก่อตั้ง “สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI:International Rice Research Institute)” ได้พัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลมากกว่าพันธุ์เดิม อ้างว่าที่ฟิลิปปินส์ได้ผลเป็นสองเท่า เหลือกินจนส่งออกได้ ฝรั่งมาเสนอรัฐบาลไทยในสมัย “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ทว่าตอนนี้โลกเขา “ปฏิวัติเขียว” กันแล้ว พร้อมกับเสนอข้าวพันธุ์ใหม่ให้ไทยอ้างไทยมีพื้นที่ทำนามาก ปลูกเหลือกินก็ส่งออก มีเงินมาพัฒนาประเทศ ข้าวพื้นเมืองไทยฝรั่งบอกว่าให้ผลผลิตน้อยและส่งออกไป คนต่างชาติก็ไม่นิยม แข็ง ไม่ถูกปาก ฝรั่งให้ข้อมูลทางวิชาการพร้อมกับข้อมูลจากผลการทดลองที่ฟิลิปปินส์ เป็น “ข้อเสนอที่ไทยไม่อาจปฏิเสธได้” แต่ฝรั่งคงพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ไม่ได้บอกว่าจะต้องใช้ปุ๋ยและยามากน้อยเพียงใด! นั่นคือที่มาของการเปลี่ยนจากการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองของไทยที่เคยปลูกกัน ทำให้ผลผลิตลดลงมาเหลือไม่ถึงร้อย เพราะ “ความทันสมัยที่ไม่พัฒนา” ทำให้ชาวนาก็ยังยากจนมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งจนและเจ็บ เพราะนอกจากหนี้สินรุงรังแล้วยังป่วยด้วยสารพิษในร่างกาย วันนี้คนไทยหายโง่ เลิกเชื่อฝรั่งอย่างน้อยในเรื่องข้าว เพราะมีงานวิจัยของไทยเองและทั่วโลกที่พบว่า ข้าวไทยดีที่สุด ที่สำคัญ “ไม่ได้เป็นแค่อาหาร แต่เป็นยาด้วย” อาทิ “ข้าวสังข์หยด, ข้าวหอมมะลิแดง, ข้าวสินเหล็ก, ข้าวเล้าแตก,ข้าวลืมผัว และอื่นๆ เป็นร้อยเป็นพัน ทั้งดั้งเดิมและวิจัยผสมพันธุ์ใหม่ไปมาจนเป็นอย่าง “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” ข้าวท้องถิ่นไทยมีสารอาหารมาก มีวิตามินอีสูง กินแล้ว “เป็นหนุ่มเป็นสาว” นาน ไม่แก่ง่าย ตายยาก มี “เบต้าแคโรทีน-สารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ก่อให้มะเร็ง” มีธาตุทองแดง เหล็ก สูง ข้าวก่ำเปลือกดำมีสารลูทีนสูงกว่าข้าวธรรมดาถึง 25 เท่า ลูทีนเป็นสารอาหารบำรุงตา ป้องกันต้อกระจก วันนี้จึงไม่แปลกที่มีข้าวพื้นเมือง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ข้าวกล้องงอก ข้าวอินทรีย์ที่ขายในห้างราคาจึงสูงกิโลละ150-200 บาท แต่กระนั้น เพราะถูกครอบงำมานาน ชาวนาจำนวนมากก็ยังไม่สามารถออกจากวงจรอุบาทว์ของปัญหาหนี้สินและความยากจนได้...
nn “ไม้หน้าสาม” ต้องบอกกล่าวกับพี่น้องชาวไทยว่า พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล และทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายตรากตรำ พระราชทานทรัพย์ทดลองค้นคว้าพลิกฟื้นแผ่นดินไทยให้รุ่งเรือง โดยเฉพาะข้าวไทย รัชกาลที่ 9 ที่ทรงเปลี่ยนพื้นที่ใน “พระตำหนักจิตรลดา” พระตำหนักกลางทุ่งส้มป่อย ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงสร้างไว้ ให้กลายเป็นเกษตรสาธิต ทั้ง “แปลงนาสาธิต โรงเลี้ยงโคนม โรงสีข้าว” ทรงพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของประชาชน คือปัญหาปากท้อง แหล่งอาหารมีไม่เพียงพอ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการเกี่ยวกับโครงการ “การเกษตรสวนจิตรลดา” ขึ้นในพื้นที่พระราชวังดุสิต พระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 จึงกลายเป็นสถานที่ทดลองพันธุ์ข้าว ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยพระองค์เอง และจัดตั้งโรงสีข้าวทดลอง เมื่อบรรลุผลแล้ว จึงได้พระราชทานผลที่ได้รับจากการทดลองให้เกษตรกรนำไปใช้ต่อยอดต่อไป นี่คือ “พระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถ” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ “คณะก้าวหน้า” เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยและพยายามบ่ายเบี่ยงประเด็นโดยอ้างการรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชนชั้นมาชำระประวัติศาสตร์การสร้างชาติจากสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เราเคยศึกษากันในห้องเรียนมาแต่เก่าก่อน ประเด็นคือเรา “เกิดและเติบโตในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9”ควรส่งเสริมข้อมูลที่ถูกต้องให้คนรุ่นลูกหลานของเราได้ซึมซับเรียนรู้ศึกษาพระราชกรณียกิจและการทรงงานเพื่อบ้านเมืองและประชาชน หรือยอมรับแกล้งโง่แกล้งไม่รู้ไม่เข้าใจเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่หลายคนลุ่มหลงศรัทธาว่าคืออนาคตใหม่ในการสร้างอนาคตของชาติกล่าวให้ร้ายป้ายสีจาบจ้วงต่อสถาบันศูนย์รวมศรัทธาคนไทยเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองโดยมิชอบเรื่อยไป ปล่อยให้ “ปรสิตในไฟลัมโปรโตซัว” ประเภทไรโลนแอบซุกซ่อนใต้ร่มผ้าปลุกปั่นยุวชนเยาวชนเห็นผิดเป็นชอบกระนั้นหรือ...
nn ปิดท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลตัดสินคดีทุจริต จำคุกอดีตบิ๊กข้าราชการ 2 คน นั่นคือ “วงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์” อดีตอธิบดีกรมการปกครอง 3 ปี ไม่รอลงอาญา ทุจริตการสอบนายอำเภอ ปี’52 ส่วนผู้เข้าสอบ 103 คน โดนคุกกราวรูดคนละ 2 ปี โดยให้รอลงอาญา 2 ปี น่าสนใจตรงที่ “วงศ์ศักดิ์” เป็นข้าราชการที่ประกาศชนกับ “นักการเมืองค่ายภูมิใจไทย” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีฯปี 2552 ขวางการจัดซื้อโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงมหาดไทย แต่ไฉนกลับมาต้องโทษกับเรื่องทุจริต ก็คงต้องรอลุ้นสู้กันต่อไปว่าจะสามารถชำระคดีความสร้างความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้กับตนเองได้หรือไม่?!?!? ส่วนอีกคดี ศาลสั่งจำคุก “เฉลิมชัย เอกก้านตรง” อดีตอธิบดีกรมอุตุฯ 3 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ลดค่าปรับ บ.เอกชน จาก 3 ร้อยล้าน เหลือ 4 ล้าน ปมส่งคอมพิวเตอร์ไม่ตรงสเปกตามสัญญา ส่วนคดีใหญ่ “ทุจริตบ้านเอื้ออาทร” วัฒนา เมืองสุข ขุนพลเพื่อไทย ลิ่วล้อ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับการประกันตัวด้วยเงิน10 ล้านบาท เจ้าตัวบอกไม่หนีไปต่างประเทศเหมือนลูกพี่ ก็คงต้องมาลุ้นกันว่า เหลืออีกไม่กี่วัน “วัฒนา” จะเป็นคนจริงนำหลักฐานมาหักล้างให้ศาลเห็นว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่ หรือจะล่องหนหนีตามนายใหญ่ไปต่างประเทศ...nn
ไม้หน้าสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี