องค์กรร่วมมือระดับภูมิภาคที่เรารู้จักกันในนามอาเซียนนั้น เดิมทีมีชื่อเป็นทางการว่า “สมาคมประชาชาติแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Association of Southeast Asian Nations – ASEAN) และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ประชาคมอาเซียน” (ASEAN Community) ซึ่งเป็นที่ยอมรับและเลื่องลือไปทั่วโลก ในแง่ความสำเร็จของการรวมตัวร่วมมือกันของประเทศกำลังพัฒนา ที่มีความเป็นปึกแผ่น และเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้ง 53 ปี ของอาเซียนจัดได้ว่าเป็นความสำเร็จของการเสริมสร้างสันติภาพ และสันติสุข ดังว่ามิได้มีการสงครามต่อกันและมีการไกล่เกลี่ยปัญหา หรือหาข้อยุติต่อความขัดแย้งด้วยสันติวิธี คือการเจรจาทางการทูต (แม้จะมีการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร แต่ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตจำกัด และระยะสั้นๆ ก่อนจะเลิกรากันไป และหันกลับไปสู่โต๊ะเจรจา)
หลักการสำคัญที่อำนวยให้อาเซียนคงอยู่ และก้าวไปข้างหน้าได้ คือการร่วมมือกันแบบถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ และไม่แทรกแซงในกิจการภายในของกันและกัน รวมทั้งการหาข้อยุติในการกำหนดท่าทีและทิศทางร่วมกันด้วยวิธีการฉันทามติ นั่นคือทุกฝ่ายต้องเห็นพ้อง ไม่มีระบบการใช้เสียงข้างมาก หรือความใหญ่โตของสมาชิกหนึ่งใดเป็นเรื่องใหญ่ ในการไปใช้การบีบคั้นหรือบีบบังคับรัฐสมาชิกที่เล็กกว่าให้ยินยอมหรือโอนอ่อนคล้อยตาม ใครจะเล็กจะใหญ่ก็ถือว่ามีหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน
ที่ผ่านๆ มา อาเซียนจึงประคับประคองตัวกันมาได้ ด้วยการออมชอม ถนอมไมตรีต่อกัน ไม่ดึงดัน ไม่หักล้างกัน
ในขณะเดียวกัน อาเซียนก็ยังได้รับการยอมรับ และได้รับการร่วมมือสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจ รวมทั้งประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ
เมื่อมองจากภายนอกอาเซียนจึงดูดี แต่แท้จริงแล้วมีคำถามทั้งจากภายในและภายนอกอาเซียนว่า อาเซียนนั้น “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” หรือเปล่า?
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า โดยตลอดมาการนำพาและขับเคลื่อนอาเซียน เป็นผลงานของฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำเป็นสำคัญ โดยที่ภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม และประชาชนพลเมืองโดยทั่วไปมิได้เข้ามามีส่วนร่วมในการคิดอ่าน และการตัดสินใจอย่างเป็นกิจจะลักษณะ อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง อาเซียนจึงเป็นองค์กรที่มีข้อจำกัดในเรื่องของการมีส่วนร่วม (Participation)
แต่ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้นำอาเซียนและแวดวงข้าราชการก็ได้ป่าวประกาศออกมาเป็นนโยบาย เป็นวิสัยทัศน์ เป็นอุดมการณ์ ว่าอาเซียนนั้นเป็นของประชาชนพลเมืองอาเซียน และฉะนั้นประชาชนพลเมืองอาเซียนจึงเป็นทั้งแกน ฐาน และศูนย์กลาง ของความเป็นไปของอาเซียนทั้งหมด (People’s Centred)
แต่การป่าวประกาศดังกล่าวก็เป็นเพียงแค่วาทะ (Rhetorics) เพราะบรรดาผู้นำทางการเมือง และฝ่ายข้าราชการของประเทศสมาชิกอาเซียนยังมิได้เปิดโอกาสให้ประชาชนพลเมืองอาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นแกนขับเคลื่อน และเป็นศูนย์กลางของการรับประโยชน์จากการร่วมมือของอาเซียนอย่างจริงจัง
แผนการการเปิดให้ประชาชนพลเมืองเข้ามามีส่วนร่วมก็ยังมิได้เกิดขึ้น และยังมิมีท่าทีว่าจะเกิดขึ้นฉะนั้น ความเป็นอาเซียนหนึ่งเดียวและความเป็นศูนย์กลางของประชาชนพลเมืองอาเซียนจึงเป็น “โพรง” ไม่สุกใสข้างใน
เหตุที่ประชาชนพลเมืองยังเข้ามาเป็นศูนย์กลาง เป็นแกน เป็นผู้ร่วมคิดร่วมตัดสินใจ และร่วมทำยังมิได้นั้น เพราะอาเซียนมีประเด็นปัญหาพื้นฐาน กล่าวคือประเทศสมาชิกจากจำนวน 10 ประเทศ ส่วนใหญ่ยังมีระบอบการเมืองการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ฉะนั้นเมื่อไม่มีความเป็นประชาธิปไตย โอกาสที่ประชาชนพลเมืองอาเซียนจะแสดงความเป็นเจ้าของ และร่วมกำหนดอนาคตและทิศทางของอาเซียนจึงมีความยากลำบากและดูมืดมน
ฉะนั้น คำว่า People’s Centred หรือประชาชนพลเมืองเป็นที่ตั้ง จึงจะเกิดขึ้นได้อย่างจริงจังก็ต่อเมื่อในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนมีระบบการบ้านการเมืองแบบประชาธิปไตย หรือนัยหนึ่งประชาคมอาเซียนโดยรวมเยี่ยงสหภาพยุโรปจะต้องมีพื้นฐานและสภาพของการเป็นสังคมประชาธิปไตยเสียก่อน แล้วความเป็นจริงเกี่ยวกับหลักประชาชนพลเมืองเป็นศูนย์กลางและเป็นที่ตั้งของความเป็นไปก็พึงจะเกิดขึ้น อาเซียนก็คงจะได้สุกใสทั้งข้างในและข้างนอก และจะได้สลัดตัวเองออกจากการสั่งการลงมาของกลุ่มการเมืองและแวดวงข้าราชการส่วนน้อยนิดนี้
ในกฎบัตรอาเซียนที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติ ก็ได้มีวลีและศัพท์แสงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ฉะนั้นสังคมเผด็จการทุกรูปแบบก็ไม่มีสิทธิ และไม่มีความชอบธรรมอยู่ในสังคมประชาคมอาเซียน เป็นเรื่องที่จะต้องเสริมสร้างประชาธิปไตยกันอย่างจริงจัง และเมื่อนั้นอาเซียนก็จะมีศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิ และพลังอำนาจยิ่งขึ้น เพราะประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่ และเป็นที่ตั้ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี