ประธานาธิบดีลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ผู้เขียนพยายามจะยกย่องให้เป็นตัวอย่างของนักการเมืองและรัฐบุรุษ ซึ่งเมื่อชนะเลือกตั้ง ค.ศ.1861 (หรือ พ.ศ.2404) ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยคู่แข่งเดิมของท่าน ซึ่งแข่งขันกันจะเป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกัน เหตุผลของท่านคือ ต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่คณะรัฐมนตรี ที่จะประกอบด้วยบุคคลชั้นนำของพรรค ผิดจากสังคมไทย ที่เมื่อเกิดการแข่งขันกันภายในพรรคแล้ว ยากจะออมชอมและรวมพลังกันระหว่างขั้วต่างๆ เพราะอะไร? เพราะชาวไทยมองการแข่งขันกันทางการเมืองเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกระนั้นหรือ? และที่สอนกันและให้ท่องบ่นกันว่า ในการแข่งขันกีฬา ให้รู้จักแพ้และชนะ เมื่อชนะก็อย่าหลงระเริง หรือแพ้ก็ต้องยอมรับด้วยหัวใจราบรื่นและสงบ ส่วนลินคอล์นนั้น มีวิธีของท่านที่ทำให้ท่านเป็นที่รัก ที่นิยม เช่น เมื่อเล่นกีฬามวยปล้ำ ซึ่งท่านเก่งและมักเป็นผู้ชนะ ก็จะเล่านิทานปลอบใจผู้แพ้ให้ไม่ถือโทษโกรธชัง และครั้งนี้ เมื่อชนะเลือกตั้ง ลินคอล์น ก็ชวนให้ผู้แข่งขันในพรรครีพับลิกัน (3 คน) ได้ร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี นี่คือตัวอย่างของวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของนักประชาธิปไตยตัวอย่างที่ผู้คนทั่วโลกยกย่องสรรเสริญ และไม่สงสัยว่าทำไมสหรัฐอเมริกาจึงดำรงความเป็นสังคมประชาธิปไตยได้ยาวนาน ไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหาร และประธานาธิบดีทุกๆ ท่าน ก็จะไม่ขอเป็นประธานาธิบดีเกิน 2 สมัย ทั้งนี้ เพราะนายพล ยอร์จ วอชิงตัน ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก ได้ทำไว้เป็นตัวอย่างที่จะไม่ดำรงอยู่ในตำแหน่งเกิน 2 สมัยนั่นเอง
อีกกรณีหนึ่ง ที่ใกล้บ้านเรา และมีวัฒนธรรมเอเชีย ซึ่งประเทศไทยก็เป็นเช่นนั้น ได้แก่ อินเดีย ซึ่งได้รับเอกราชจากมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ได้แก่ อังกฤษ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่โต ประชากรเกิน 3 ร้อยล้านเศษขณะนั้น และมีการแบ่งชั้นวรรณะกันอย่างเข้มข้น เรียกว่า ขาดความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ทำไมอินเดียตั้งแต่ได้รับเอกราชหลังสงครามโลก จึงดำรงอยู่เป็นระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนทั่วโลกรวมทั้งชาวไทย จะถามคำถามนี้เสมอว่า เป็นไปได้อย่างไรมีทั้งคนจนจำนวนมาก แต่ก็รักษาระบอบประชาธิปไตย การมีรัฐสภา สภาท้องถิ่น และการเลือกตั้งสม่ำเสมอ และการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน หัวหน้าพรรคต่างๆ ไม่ได้มีพรรคหนึ่งพรรคใดครองอำนาจตลอดไป
วัฒนธรรมทางการเมืองของอินเดีย น่าจะแตกต่างจากวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย หรือจีน และที่แตกต่างเช่นนี้ เพราะการศึกษาของชาวอินเดีย หรือปัจจัยอื่นใดทางศาสนาใช่หรือไม่ เท่าที่ทราบ ได้มีการตื่นตัวในการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูประบบราชการในอินเดียในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวอินเดียที่มาจากตระกูลชั้นสูงล้วนแล้วแต่ได้รับการศึกษาแบบอังกฤษ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในอินเดียครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทั้งด้านการปฏิรูประบบราชการ เพื่อสอบคัดเลือกผู้ที่จะเข้ารับราชการบนพื้นฐานของระบบคุณธรรม (Merit System) และการปฏิรูปการศึกษาตามแนวความคิดของลอร์ด แม็คคอเลย์ (Mc Caulay) ที่เคยกล่าวไว้ว่า เพียง 1 ชั้นหนังสือเชิงปรัชญาและประวัติศาสตร์ วรรณคดี ของชาวอังกฤษและยุโรป น่าจะมีคุณค่ามากกว่า1 ห้องสมุดของชาวอินเดีย ฉะนั้น ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19จึงปรากฏว่าชนชั้นสูงในอินเดียจะจบการศึกษาตามหลักสูตรของชาวอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ และส่วนหนึ่งก็จะไปศึกษาต่อที่อังกฤษ เช่น มหาตมะ คานธี ที่ไปเรียนวิชากฎหมายที่สำนักกฎหมายแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
การปฏิรูปการศึกษาตามแนวอารยธรรมตะวันตก อาจจะมีส่วนหล่อหลอมวัฒนธรรมการเมือง แต่ที่สำคัญเช่นกัน ก็คือ แนวคิด แนวทางของมหาตมะ คานธี ในเรื่อง “สัตยเคราะห์”(Sattayakruha) หรือการรณรงค์เรียกร้องอิสรภาพที่ปราศจากการใช้อาวุธ เช่น การอดข้าวอดน้ำในหลักอหิงสา และที่โด่งดังที่สุดคือการเดินทางไกลไปผลิตเกลือจากน้ำทะเล ซึ่งผิดกฎหมายของรัฐบาลที่อังกฤษห้ามประชาชนผลิตเกลือ เพราะรัฐบาลมีอำนาจผลิตเกลือแต่ผู้เดียว การเดินทางไกลไปผลิตเกลือของมหาตมะ คานธี ในปี ค.ศ.1930 ใช้เวลาเดือนเศษ และมีผู้ร่วมเดินทางประมาณ 79 คน เพื่อเดินทางในระยะทาง240 ไมล์ ไปยังชายทะเลฝั่งตะวันตกของรัฐกุจราต (Gujarat) ทั้งนี้ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษ ยังผลให้รัฐบาลอังกฤษเสียหน้าต่อประชาคมโลก และเกิดผลของการเจรจาเพื่อปลดปล่อยให้อิสรภาพแก่อินเดีย
โดยสรุป กระบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียซึ่งใช้เวลาครึ่งค่อนศตวรรษ จำต้องระดมกำลังประชาชนในขบวนการจัดตั้งสภาคองเกรสแห่งอินเดีย ตั้งแต่ ค.ศ.1885 (Indian National Congress) เพื่อเป็นเวทีรวมพลังและแนวความคิดจากภูมิภาคต่างๆ และหลายลัทธิทางศาสนา เพื่อเจรจาต่อรองกับรัฐบาลอังกฤษ ประสบการณ์เหล่านี้น่าจะเป็นแบบฝึกหัดที่ดียิ่งในการสร้างกระบวนการประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่อาวุธสำคัญคือฝีปาก กับปัญญา และเหตุผล รวมทั้งหลักความยุติธรรม
นอกจากนั้น หลักศาสนาฮินดู ซึ่งมีทั้งเรื่องวรรณะ ที่มีผลลบมากมาย แต่ก็คงมีผลบวกที่สอนให้ชาวฮินดูมีวินัย อ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อสังคมระดับชาติ ขณะเดียวกัน ปรัชญาการดำเนินชีวิตของชนชั้นผู้ปกครอง ที่ต้องยึดถือคัมภีร์ ภควัทคีตา หรือ บทเพลงแห่งพระเจ้า เป็นเครื่องกำกับพฤติกรรม ซึ่งตอกย้ำวิถีการดำเนินชีวิตของชนชั้นผู้ปกครอง ตามครรลองของหลักความยุติธรรม ก็น่าจะมีอิทธิพลต่อชนชั้นสูงของอินเดีย ดังที่มหาตมะ คานธี ได้กระทำเป็นตัวอย่างตลอดชีวิตของท่าน
จากข้อคิดต่างๆ ที่ได้พยายามสรุปมานี้ น่าจะช่วยให้ผู้รับผิดชอบชาวไทยได้ตระหนักถึงการจัดการศึกษา ที่จะสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่จะต้องสอนประวัติศาสตร์การเมืองด้วยใจเป็นกลาง ที่จะต้องส่งเสริมให้เยาวชนมีทักษะความสามารถทางสติปัญญา สอดคล้องกับวิถีชีวิตในระบบรัฐสภา มีจิตใจที่เกิดกว้างและไม่ติดยึดกับอำนาจ แต่ยึดทางสายกลางและยกย่องผู้คนที่ควรยกย่อง ให้ความเป็นธรรมหรือยุติธรรมต่อเพื่อนร่วมงาน ระบบการทดสอบและประเมินผลที่กระทรวงฯ จัดดำเนินการมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน อาจไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาดังกล่าวมากนัก ควรปรับปรุง โดยศึกษาให้ถ่องแท้ว่าประเทศอื่นๆ ดำเนินการอย่างไร เพื่อมิให้จมปลัก หรือ เป็น “ทาส” แก่ระบบประเมินผลส่วนกลาง ซึ่งแข็งกระด้างและไม่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศ
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี