13 ตุลาคม คือวันที่สำคัญที่คนไทยในยุคปัจจุบันยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี ด้วยเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงขอร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีให้ปวงชนชาวไทยมาตลอด 70 ปี ที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ใช้วันที่ 13 ตุลาคม ในการสนับสนุนกิจกรรมการเมืองบางอย่าง ทั้งที่ตอนแรกถูกกำหนดว่าจะจัดกิจกรรมทางการเมืองในวันที่ 14 ตุลาคม แต่ท้ายที่สุดก็มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มเริ่มมาตั้งเต็นท์ปักหลักเตรียมพร้อมสำหรับการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันรุ่งขึ้น เป็นเหตุให้ทางเจ้าหน้าที่ ต้องเข้าไปยุติการชุมนุมที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า นอกจากนี้มีการสาดสีใส่เจ้าหน้าที่รัฐจนนำไปสู่การจับกุมในที่สุด ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หรือนี้อาจเป็นการยั่วยุเพื่อให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้นให้ได้ในวันสำคัญของคนไทยหรือไม่?
โดยปกติวันที่ 14 ตุลาคม ของทุกปี ก็จะมีการจัดกิจกรรมรำลึกประวัติศาสตร์การเมืองในอดีต โดยการทำบุญ และทำกิจกรรมสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ในปีนี้กลับได้มีความพยายามที่จะปลุกระดมให้คนออกมาชุมนุมเหมือนเมื่อวันที่ 19 กันยายน
ซึ่งก่อนจะถึงวันที่ 14 ตุลาคม หลายฝ่ายต่างคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา เพราะก่อนหน้านี้มีความพยายามปลุกระดมมวลชนด้วยประเด็นต่างๆ นานา ในโซเชียลมีเดีย ทั้งเรื่องความไม่พอใจรัฐบาล และเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ที่หลายฝ่ายกังวลคือความพยายามปลุกปั่นประเด็นเรื่องสถาบัน เพราะอาจทำให้
เกิดความไม่พอใจของประชาชนที่รักสถาบันได้ เช่นเดียวกับนายจตุพรที่ได้ให้ความเห็นว่าไม่ควรโจมตีไปที่สถาบันและควรเน้นไปที่ 2 เรื่อง คือ เรื่องนายกฯ และการเรียกร้องให้เปิดประชุมสภาวิสามัญเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ
การชุมนุมเมื่อวานนี้เริ่มโดยการนัดหมายชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนจะเคลื่อนตัวไปที่ทำเนียบรัฐบาล โดยแม้มีแกนนำและประชาชนบางตากว่าวันที่ 19 กันยายน แต่การเคลื่อนไหวค่อนข้างดุเดือดและกระทบพื้นที่โดยรอบมากกว่า เพราะนอกจากการเคลื่อนตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมจะทำให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกได้ยากแล้ว ยังมีกิจกรรมของกลุ่มอื่นที่ใช้พื้นที่เดียวกัน
ต้องอย่าลืมว่าการออกมาชุมนุมของกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ ระยะหลังมานี้มีการพูดปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์สถาบันอย่างหนัก สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนกลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มไทยภักดี ที่มีหมอวรงค์เป็นแกนนำกลุ่ม ซึ่งเมื่อวานนี้ก็มีการรวมตัวกันของกลุ่มที่บริเวณใกล้วัดพระแก้ว กลุ่มพุทธะอิสระที่รวมตัวบริเวณพระบรมรูปทรงม้า กลุ่มของลุงกำนันสุเทพที่เชิญชวนประชาชนมารอเฝ้าฯรับเสด็จ ณ บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ขณะที่ยังมีกลุ่มหมอเหรียญทอง แน่นหนา ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์
ซึ่งโดยรวมแล้วมีประชาชนมาร่วมจำนวนมากกว่าค่อนข้างมาก และก็เป็นอย่างที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องการปะทะกันเพราะในช่วงเวลาตั้งแต่ช่วงสายๆ เรื่อยมาจนถึงช่วงบ่ายก็ได้มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีที่ประชาชนขัดแย้งกันได้ถึงเพียงนี้
การชุมนุมวันที่ 14 ได้รับการสนับสนุนเงินงบประมาณจากไหน หรือไม่ และเกี่ยวข้องอย่างไรกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองหรือไม่ ?
เพราะก่อนหน้านี้มีคนบางส่วนตั้งข้อสังเกตของทุนสนับสนุนการชุมนุมว่ามาจากประชาชนหรือมาจากการสนับสนุนของต่างประเทศผ่าน NGOs บางแห่งที่พยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทยหรือไม่? อย่างไรก็ตาม พบว่าการชุมนุมครั้งหลังจาก 19 กันยายน ฝ่ายการเมืองอาจลดระดับการสนับสนุนลงไปมากหรือไม่?
จะพบว่าการชุมนุมก่อนหน้านี้จนถึงในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา มีส่วนผสมและมีส่วนร่วม ไม่มากก็น้อยจากพรรคการเมือง หรือคนในพรรคการเมืองบางส่วนหรือไม่? โดยในวันที่ 19 กันยายน พบว่าเป็นการรวมตัวกันของคนเสื้อแดงจากหลายจังหวัดที่เข้ามา และการเข้าสังเกตการณ์ของพรรคการเมืองบางพรรคที่ยังไม่อาจระบุได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่หลังจากการเหตุการณ์บางอย่างจนนำไปสู่การปรับโครงสร้างพรรคเพื่อไทย หลังวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา ก็ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของบรรดาพรรคการเมืองต่อการชุมนุมลดระดับลงไปมาก นัยหนึ่งเพราะดูแล้วแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญที่มีแนวโน้มว่ารัฐบาลน่าจะเปิดทางให้ตั้งส.ส.ร.เร็วๆ นี้ และการเลือกตั้งท้องถิ่นก็อาจจะกำลังเกิดขึ้น
นอกจากนี้อาจจะมีอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้กระแสของการชุมนุมมีความไม่ชัดเจน นั่นคือท่าทีของพรรคเพื่อไทยที่ดูกำลังรออะไรบางอย่าง จึงทำให้กลุ่มแนวร่วมของพรรคที่เป็นกระบอกเสียงให้คนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุมนั้นยังแสดงอะไรออกมาไม่ได้มากเท่าที่ควร เพราะยังไม่แน่ใจในแนวทางการดำเนินงานของพรรคและท่าทีการแสดงออกของพรรคนั่นเอง ใช่หรือไม่?
โดยการชุมนุมครั้งนี้นอกจากเรื่องในที่ชุมนุมแล้วยังมีเรื่องให้น่าติดตามอีกเรื่องก็คือบทบาทและการเคลื่อนไหวของนายธนาธรและพรรคก้าวไกล เพราะนายธนาธร ประธานคณะก้าวหน้า ได้บอกไว้ก่อนหน้าแล้วว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมแน่นอน ซึ่งตั้งแต่เย็นวันที่ 13 ก็พบการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลตามจุดชุมนุมอยู่แล้ว หรือไม่
การออกมาเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าในครั้งนี้ มีเป้าประสงค์อื่นด้วยหรือไม่ ไม่มีใครทราบ แต่อาจเกิดผลต่อการดึงความสนใจของประชาชนจากพรรคเพื่อไทยมาอยู่ที่พรรคฝ่ายค้านลำดับรองได้ และสิ่งที่บังเอิญอีกอย่างคือ เมื่อไม่นานมานี้ กกต. ประกาศเคาะวันเลือกตั้งท้องถิ่นออกมาแล้วในวันที่ 20 ธันวาคม 2563 โดยจะมีการรับสมัครเลือกตั้งในระหว่างวันที่ 2-6 พฤศจิกายน 2563 หลังจากห่างหายไปนานกว่า 6 ปี และนี่เป็นอีกประเด็นสำคัญอีกหนึ่งอย่างเพราะหลายฝ่ายรู้ดีว่า นายธนาธรตั้งตารอเวลานี้มานานจากการลงไปทำพื้นที่มาสักพักแล้ว
การเลือกตั้งท้องถิ่นถือเป็นประเด็นที่เราต้องจับตามองและให้ความสำคัญไม่แพ้กันเนื่องจากหลังจากที่รัฐบาลเคาะวันเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ พบว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นกำลังจะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือนเท่านั้น พรรคการเมืองต่างๆ ก็เริ่มเดินเกมของตนเช่นพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยก็ได้ออกมาปรับกลยุทธ์ด้วยเช่นกัน
หลังจากการปรับ กก.บห. พรรคใหม่ทำให้เพื่อไทยฉีกไปเล่น 3 ประเด็นปัญหาที่ทางพรรคจะให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ 2. ร่วมขับเคลื่อนกับเครือข่ายทุกภาคส่วนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.การแก้ไขปัญหาทางด้านการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าการปรับกลยุทธ์ใหม่ของเพื่อไทยในครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของตัวเองมากขึ้น แทนที่จะมุ่งล้มรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ก็เป็นการนำนโยบายกลับมาสร้างความนิยมให้กับพรรคตัวเองเช่นในอดีต ไม่มุ่งมั่นเพียงล้มรัฐบาลแต่ใช้กลไกในสภาเพื่อแก้รัฐธรรมนูญในกลไกการเลือกตั้ง ซึ่งครั้งที่ผ่านมาทำให้พรรคตนต้องเสียเปรียบ และในเวลาเดียวกันนั้นก็ผลักดันนโยบายที่สร้างสรรค์เพื่อนำความนิยมกลับมาสู่พรรคของตนโดยเฉพาะในช่วงที่จะหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นรอบนี้
จะเห็นได้ว่า 1 ใน 3 ประเด็น ที่เพื่อไทยจะมุ่งให้ความสำคัญ ยังคงมีประเด็นที่ต้องการผลักดันให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งท่าทีรัฐบาลล่าสุดเองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะแก้รัฐธรรมนูญผ่านรัฐสภาแล้ว แม้จะไม่ได้บอกว่าจะเดินไปทางไหน จึงทำให้กระบวนการกดดันเดินเกมต่อไปลำบากเพราะกระบวนการในรัฐสภาก็ยังคงสามารถเดินต่อไปได้ ดังนั้นยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ คือ การเตรียมเลือกตั้งท้องถิ่นคู่ไปรอผลแนวทางของการแก้รัฐธรรมนูญ?
ในส่วนของคณะก้าวหน้า อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้ออกแถลงข่าว ถึงผู้ลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นทั้ง 32 จังหวัด และในอีกหลายจังหวัดที่กำลังอยู่ในกระบวนการคัดสรร? อีกทั้งนายธนาธรยังพูดอีกว่าการกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 20 ธันวาคม เป็นการกลั่นแกล้งคณะก้าวหน้าหรือไม่ เพราะวันที่ 13 เป็นวันหยุดยาวต่อเนื่องมาจากวันที่ 10 และวันที่ 20 รัฐไม่ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดยาว หมายความว่า ประชาชนจะต้องกลับบ้านไปเลือกตั้งอีกรอบ เท่ากับต้องกลับบ้าน 3 ครั้ง รวมกับวันที่ 27 ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงขึ้นปีใหม่ด้วย จึงอาจจะทำให้ฐานเสียงของเขาในกลุ่มคนเมืองซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่จะต้องกลับบ้านนั้นเลือกที่จะไม่กลับบ้านและทำให้ประชาชนกลับไปใช้สิทธิ์เป็นจำนวนน้อยนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้น่าคิดหรือน่าสงสัยมากกว่าคือ เหตุใดจึงเป็นคณะก้าวหน้าส่งคนลงเลือกตั้งท้องถิ่นเหตุใดจึงไม่ใช่พรรคก้าวไกลและอีกประการคือการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายธนาธรตอนนี้ มีเป้าประสงค์อันเกี่ยวเนื่องกับการดึงกระแสกลับมาที่ตนเองในการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่ เพราะจากความขัดแย้งในประเทศตอนนี้ทำให้ประชาชนแทบจะแบ่งออกเป็นสองขั้วทางความคิด การดึงคะแนนที่ได้ผลจึงกลายเป็นดึงคะแนนในขั้วอุดมการณ์เดียวกันจะง่ายที่สุด ซึ่งขณะที่พรรคเพื่อไทยดูกำลังอาจจะลดบทบาทตนเองจากกลุ่มผู้ชุมนุมใช่หรือไม่? จึงอาจเป็นการปรากฏขึ้นอย่างมีบทบาทของนายธนาธร? อันนี้คงต้องติดตามต่อไป
“ธรรมดานกแม้จะทำรังอาศัย ก็ให้ดูต้นไม้อันร่มชิดจึงจะได้อยู่เป็นสุข อนึ่งเกิดมาเป็นชายก็ให้พึงพิเคราะห์ดูเจ้านายอันมีน้ำใจโอบอ้อมอารี จึงเข้าอยู่ด้วย”
ลิอิ๋น สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี