จะขอนำ “แนวคิด และหลักปฏิบัติในการคิดและตัดสินใจ” มาชี้ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ในเหตุการณ์สำคัญ ทั้ง ๔ คือ
๑.การเข้าร่วมการต่อสู้ในชนบทกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ปี ๒๕๑๙
หลักการตัดสินใจ เป็นการตัดสินใจรวมหมู่ โดยอ.ธีรยุทธ เป็นหลัก เราประเมินว่า “ปัจจัยและโอกาสของการล้อมปราบของกลุ่มอำนาจเดิมบางส่วนมีสูง” ขณะเดียวกันเราไม่สามารถไปกำหนด หรือห้ามการนำการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาชนที่หัวขบวนฯ ในเมือง ออกมาในลักษณะซ้ายจัด ด้วยกรอบคิดที่ผิดว่า “ตายสิบเกิดแสน” ยิ่งมีความเสียหาย บาดเจ็บล้มตายมาก ประชาชนจะยิ่งลุกขึ้นมาต่อสู้มากนี่คือ “ข้อบกพร่องผิดพลาด” และจะกลายเป็นเรื่องเสียหาย หากเราไม่ยอมสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดของเรา เอาแต่โทษ และกล่าวหาผู้อื่น
(เรื่องนี้ ยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะ พวกที่ใช้ “ความแค้นและอคตินำ” สติปัญญา ความจริง)
ผู้นำหลายกลุ่ม มีข้อสรุปใกล้เคียงกัน จึงได้ตัดสินใจ ก่อน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
๑.ชุด เสกสรรค์ จิรนันท์ เทิดภูมิ หมอเหวง สมาน ปรีดีกลางปี ๒๕๑๘
๒.ชุด พี่ไข แสงสุกใส อุดร ประยงค์ อินสอน สุทัศน์ฯกุมภา ๒๕๑๙
๓.ชุด อ.ธีรยุทธ ชัยวัฒน์ วิสา ประสาร มวลชนวิสุทธิ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๙
๔.ชุด สมัคร ชูวิทย์ สมฮัก หนูกร วิชัย หินแก้ว ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๙
จากการรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติม ในศักยภาพและความจำกัดของ พคท. เราได้ข้อสรุป
อ.ธีรยุทธ : “พี่จิ๊บ” เราแทบไม่มีโอกาสชนะเลย แต่เราก็ยังคงทำงาน “แนวร่วม และของพรรค” อย่างเอาจริง ทุ่มเทเต็มที่และในส่วนของผม เราทำงานด้วยความรักความสุข และการให้เสียสละแก่เพื่อนมิตรฯ
และเมื่อ ขบวนการแนวร่วมฯ ได้ข้อสรุป ที่จะยุติการต่อสู้ ร่วมกับ พคท.
เราก็จากกันด้วยดี ด้วยความรู้ที่ดี ซาบซึ้งในบุญคุณ และสิ่งที่ พคท. ได้ให้แก่เรา เราไม่เคยไปกล่าวหา โจมตีให้ร้ายป้ายสี เพื่อเอาตัวรอด
และเมื่อกลับเข้าสู้นาคร เราก็ได้สรุปบทเรียนที่เป็นจริง ในเรื่องของการปฏิวัติในส่วนที่เป็นข้ออ่อนข้อจำกัดและข้อบกพร่อง ของทั้งขบวนการฯทุกฝ่ายและเรา ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตามหลังเพื่อนๆ ซึ่งต้องทำงานหนักกว่า เอาจริงและเราก็สามารถ “ยืนอยู่ได้อย่างสง่างาม” ทำงานด้วย ความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกงกินฯ
เมื่อเราตั้งหลักได้ ก็ได้เป็นกำลังสำคัญของน้องๆ และคนรุ่นหลัง ในเรื่องการต่อสู้เพื่อบ้านเมือง
๒.การเข้าร่วมกับ พธม. ๒๕๔๙ และ กปปส. ๒๕๕๖-๗
แนวคิด และหลักปฏิบัติ ในการคิดและตัดสินใจบางประเด็น
การเข้าร่วมกับ ๒ กรณี ทางประวัติศาสตร์นี้ เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง
เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ ถูกต้อง สอดคล้องกับสถาการณ์ที่เป็นจริง หากไม่มี ระบอบทุนสามานย์และตัวแทนจะครอบงำประเทศ ไปอีกนาน แล้วจะขยายอิทธิ เข้าแทรกแซงระบบราชการ และกระบวนการยุติธรรม อย่างมากฯ เพราะ“ผู้นำระบอบนี้” นอกจากมีความรู้ความสามารถสูงแล้ว ยังกล้าใช้อำนาจรัฐ ทุน สื่อ มวลชนฯ ทำในสิ่งที่ผิด นอกจากสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้นำ มีขีดความสามารถ และประสบการณ์การก่อการฯให้บรรลุเป้าหมาย จำกัด
-การเข้าใจ “พลังมวลมหาชน” ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะ “แม้จะมีพลังมวลชนเป็นล้านฯ” แต่ไม่สามารถเข้ายึดอำนาจรัฐได้ จำเป็นต้องมี “พลังพิเศษ” คือ“พลังหรือกองกำลังอาวุธที่เหนือกว่าฝ่ายอำนาจรัฐเก่า” หรือการจะต้องสร้างความร่วมมือกับ “กองทัพ” จึงจะมีพลังแห่งชัยชนะ
-การเข้าใจ บทบาทและฐานะของ “สถาบันเบื้องสูง”ซึ่งจะวางตัวเป็นกลาง หรือเหนือความขัดแย้งทางการเมือง
-การเข้าใจ บทบาทและฐานะของกองทัพ
กองทัพ มีความจำเป็น ที่จะต้องมี “ระยะห่างจากผู้ชุมนุม”
การเข้าร่วมโดยตรง อาจจะสร้างภาวการณ์กดดันที่เสี่ยง
การตัดสินใจ สุดท้าย โดย กองทัพเอง จะทำให้มีความเป็นอิสระ ได้มากกว่า
-การไม่เข้าใจ ดุลอำนาจทางการเมือง ของฝ่ายต่างๆในสังคมไทย เรื่องนี้ เป็นข้ออ่อน หรือ เป็นข้อจำกัดทางความรับรู้ของผู้นำทุกฝ่ายและทุกระดับการเข้าใจว่า“ผู้นำรัฐประหาร-ผู้นำรัฐบาล หรือสถาบันฯ” มีอำนาจเบ็ดเสร็จ :ผิดประเทศ หรือทางประวัติศาสตร์ ผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงจะปฏิรูปได้จริง
แต่สังคมไทย จากการพัฒนาพลังและบทบาทของฝ่ายต่างๆ ทำให้มีอำนาจหลายดุลและเป็นดุลอำนาจ ที่สามารถคาน “อำนาจของการรัฐประหาร หรือการเลือกตั้ง” ได้ตั้งแต่อำนาจของสถาบัน กองทัพ ข้าราชการ กลุ่มทุนใหญ่กลางนักวิชาการ และสื่อและอำนาจของรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ (ตำรวจ อัยการ ศาล) รวมทั้งอำนาจของประชาชน ที่ถูกสร้างให้ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงเป็นอำนาจที่อ่อนแอที่สุด
เปรียบเทียบบางประเด็น ระหว่าง “ผู้นำ พธม. และกปปส.” โดยภาพร่วม ผู้นำของทั้งสององค์กรทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี สามารถบริหารและนำพามวลชน ไปสู่เป้าหมายได้แต่ในด้านความเป็นผู้นำของประชาชน ที่จะต้องเชื่อมประสานกับมวลชนอย่างแท้จริงนั้น แม้จะ“ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือการตัดสินใจ มักเป็นเรื่องของแกนนำที่นำ และร่วมศึกฯ”
แต่หากเปรียบเทียบกับ โดยเนื้อผ้าแล้ว ผู้นำของ กปปส. จะทำได้ดีกว่า
แสดงออก โดย
การเคารพ และจริงใจ ต่อมวลชน ในการคิดและทำบนผลประโยชน์ของบ้านเมือง การไม่กล่าวอ้าง หรืออ้าง “สถาบันฯ”(ผู้นำ พธม.บางคน มีข้ออ่อนในเรื่องนี้) การปรึกษาหารือกับบรรดาผู้นำองค์กรต่างๆ ที่มาเข้าร่วมฯ
๑.การตัดสินใจ ในการทำกิจกรรมต่างๆ
๒.ผู้นำภาคฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมหลากหลายอาชีพในขอบเขตทั่วประเทศ มากกว่ามีผู้นำภาครัฐ ทั้งระดับปราชญ์ราชบัณฑิต ข้าราชการ เอกชน ภาคประชาชนตัวชี้ที่มีนัยสำคัญ คือ “กองทัพธรรม” ที่ตัดสินใจ เข้าร่วม และจำนวนมวลชนหลายๆ คนฯ
๓.การต่อสู้คดี ที่ถูกทางการฯ ตั้งข้อหา และการช่วยประสานงาน ในเรื่องทุน และทนายฯ ในเรื่องการต่อสู้คดีทางแกนนำ พธม. บางคน มีข้ออ่อนใหญ่ ที่ผิดพลาด คือ “การตัดสินใจ ให้ ทนายความใช้อำนาจพิจารณาคดีลับหลัง”โดยไม่ปรึกษากับแกนนำของกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่เข้าร่วมฯ ทำให้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด คือ “คดีอาญาจบก่อนคดีแพ่ง”
แต่เรื่องรายละเอียดเหล่านี้ จะไม่ค่อยพูดคุยออกสู่สาธารณด้วย ข้ออ้าง และการเป็นห่วงว่า “จะกระทบกระเทือนในการสามัคคีกัน” แต่ในที่สุด แกนนำหลายคนที่ถูกคดีก็จัดหาทนายใหม่ ในการต่อสู้คดีการนำเสนอเรื่องนี้ เพื่อเป็นการเคารพความจริง และเคารพประชาชน
(แต่คงกล่าวอะไรไปมากกว่านี้ เพราะทุกฝ่ายทำด้วยความตั้งใจดี แต่ผิดพลาด ตรงที่ขาดความเข้าใจสภาพความเป็นจริง)
มีเรื่องที่สำคัญ อีกบางประเด็น ที่จะขอนำไปกล่าว ในตอน 3
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี