อีกไม่ถึงเดือน โลกก็จะได้รู้แล้วว่า สหรัฐอเมริกาจะยังคงมีประธานาธิบดีเป็นคนเดิม หรือจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่ โดยแชมป์เดิมคือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สังกัดพรรครีพับลิกัน
ส่วนผู้ท้าชิงคือ นายโจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต
ในการเมืองสหรัฐนั้น ใครสังกัดอยู่พรรคใด ก็จะต้องมีอุดมการณ์ หรือจุดยืนตามพรรคของตนนั้นอย่างแข็งขัน
โดยภาพรวมทั่วไป ฝ่ายรีพับลิกันนั้นเอาปัจเจกชนเป็นตัวตั้ง มุ่งให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพ และพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดเป็นสำคัญ โดยมองว่าจะต้องจำกัดให้รัฐมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของประชาชนให้น้อยที่สุด ในขณะที่ทางด้านพรรคเดโมแครตนั้นกลับเห็นว่า รัฐจะต้องเข้ามาช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ผู้ยากไร้ จะปล่อยให้อยู่แบบตามยถากรรมมิได้ หรือมองในแง่เศรษฐกิจจะปล่อยให้ระบบการตลาดเสรีกำหนดอนาคตผู้คนโดยภาครัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง หรือกำกับดูแลให้เกิดความสมดุล และยุติธรรมมิได้
นอกจากนั้น พวกพรรครีพับลิกันก็มักจะเคร่งศาสนา ไม่เอาด้วยกับการทำแท้ง ไม่ชอบเรื่องการให้ความเสมอภาคกับพวกเพศทางเลือกที่สาม แตกต่างกับด้านฝ่ายพรรคเดโมแครตที่สนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการเลือก เช่น เรื่องการทำแท้งโดยเฉพาะในกรณีที่จำเป็น
ความต่างระหว่าง 2 พรรคนั้น กล่าวโดยรวมก็เป็นเรื่องความมากน้อยของบทบาทของรัฐในการบริหารบ้านเมืองและการบริการและยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประชาชนพลเมือง ฝ่ายรีพับลิกันต้องการรัฐที่ไม่ยุ่มย่ามใหญ่โต มีบทบาที่จำกัด (Small and Limited Government) ส่วนฝ่ายเดโมแครตเห็นว่ารัฐมีภาระหน้าที่ช่วยความเสมอภาค ทัดเทียมในสังคม (Government Intervention)
ในด้านการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งสะท้อนต่างมุมมองเรื่องสิทธิเสรีภาพ ฝ่ายพรรครีพับลิกันก็ยึดมั่นในเรื่องสิทธิเสรีภาพของการมีอาวุธป้องกันตัวของประชาชน (ที่มีมาตั้งแต่ยุคคาวบอย) ในขณะที่ฝ่ายพรรคเดโมแครตมองว่า กฎเกณฑ์กติกาของการถือครองปืนนั้นควรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพราะวันนี้รัฐได้บริการดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนได้แล้ว จึงต้องสนับสนุนให้มีกระบวนการตรวจสอบผู้ครอบครองปืนที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งการเสนอให้ตรวจสอบประวัติของผู้ซื้อปืนก่อนการซื้อขาย
นั่นคือความต่างหลักๆ ระหว่างแนวคิดของพรรครีพับลิกัน กับพรรคเดโมแครต ในขณะที่สไตล์ของการเสนอและมาตรการต่อประชาชนพลเมือง ที่จะมีการเพิ่ม หรือลดความเข้มข้น ก็จะขึ้นอยู่กับผู้สมัครนั้นๆ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นไม่เอาด้วยกับเรื่องภาวะโลกร้อนดังเห็นได้จากนโยบายการไม่ลดและยุติการใช้พลังงานก๊าซ และน้ำมันธรรมชาติ และถ่านหิน โดยมุ่งเรื่องการสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก ในขณะที่ทางนายโจ ไบเดน นั้นให้ความสำคัญในเรื่องธรรมชาติแวดล้อมเป็นอย่างมาก และมุ่งจะรักษาพันธกรณีที่สหรัฐอเมริกามีต่อประชาคมโลก
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สนใจเรื่องการพึงรักษา และเผยแพร่ค่านิยมประจำชาติ (Value) ในแวดวงประชาคมโลก โดยเฉพาะประเด็นความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบพหุภาคี (Multilateral) โดยประสงค์จะข้องแวะกับประเทศต่างๆ เป็นรายประเทศ (Bilateral) เพื่อแลกเปลี่ยนต่อผลประโยชน์ระหว่างกัน และเห็นว่าเวทีพหุภาคีนั้น มักจะมีการโจมตีสหรัฐอเมริกาทั้งที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้จ่ายค่าบำรุงสมาชิกสูงสุด
ส่วนทางด้านนายโจ ไบเดน นั้นยึดมั่นในการรักษาสัมพันธภาพกับพันธมิตรประเทศ รักษาเวทีพหุภาคีต่างๆ และประกาศว่าจะไม่ดำเนินนโยบายแบบ “ข้าไปคนเดียว” (AmericanFirst) และจะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เพราะมีอุดมการณ์ร่วม และคงจะดำเนินความสัมพันธ์ด้วยวิธีทางการทูตที่นุ่มนวล ไม่ก้าวร้าว ฉีกหน้า หรือไม่ไว้หน้ากันดังแบบอย่างที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาโดยตลอด ซึ่งนายโจไบเดน มองว่าสหรัฐ ควรใช้ความยิ่งใหญ่เพื่อการนำพา มากกว่าการใช้การบีบบังคับ หรือบีบคั้น ให้ประเทศอื่นๆ ยอมโอนอ่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งคู่จะมีนโยบายที่ต่างกันหลายเรื่อง แต่ก็มีเรื่องหนึ่ง ที่คอการเมืองระหว่างประเทศคาดว่า ทั้งสองจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือการดำเนินการความสัมพันธ์กับจีน โดยจะพยายาททำให้จีนต้องตระหนักว่า สหรัฐอเมริกานั้นจะไม่ยินยอมให้จีนแหกกติกาสากลอีกต่อไปและจะไม่ยอมให้จีนคุกคามภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งไม่ยอมให้จีนคุกคามผลประโยชน์ต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะที่ใดบนโลกนี้
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความหวาดหวั่นให้แก่บรรดาผู้นำโลกด้วยสไตล์พูดจาโผงผาง โฉ่งฉ่างไม่ไว้หน้า ไม่เห็นแก่มิตร ไม่ฟังศัตรู ซึ่งนายโจ ไบเดน นั้นมีบุคลิกที่ตรงกันข้าม คือสุขุม นุ่มนวล สุภาพ
ส่วนในเรื่องการแบ่งแยกสีผิว ที่เป็นปัญหาเกาะกินสังคมอเมริกันมานาน โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อชนกลุ่มน้อยสีผิวนั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ มองประเด็นปัญหาจากตัวกฎหมาย และการใช้กฎหมาย ซึ่งขาดความเอื้ออาทร ในขณะที่นายโจ ไบเดน นั้นจะค่อยๆ ประคับประคองการปรองดองสมัครสมาน และการค่อยๆ ปฏิรูปวงการตำรวจในการปฏิบัติต่อผู้คน โดยเฉพาะคนสีผิวให้ได้อย่างเที่ยงธรรมและด้วยหลักมนุษยธรรม
อะไรเป็นจุดขาย จุดด้อยของแต่ละฝ่าย ก็ได้กล่าวไปแล้ว หากแต่ตัวชี้ขาดชัยชนะ น่าจะอยู่ตรงที่ นายโดนัลด์ทรัมป์ มักกระทำตนเป็นคนขี้ทะเลาะ ชวนทะเลาะ ไปเสียทุกเรื่องและทุกเมื่อ ซึ่งปัญหานี้น่าจะเป็นจุดตาย ที่ส่งผลให้ผู้คนชาวสหรัฐ ที่เป็นกลุ่มพลังเงียบกลุ่มใหญ่ (SilentMajority) หรือกลุ่มอิสระไม่สังกัดพรรคใดๆ (Independents)หันไปเทคะแนนให้กับ นายโจ ไบเดน ที่มีคะแนนนำในโพลล์ต่างๆ มาโดยตลอด แต่นายโจ ไบเดน ก็มีจุดอ่อนเรื่องบุคลิกภาพที่ดูไม่เด็ดเดี่ยว หากแต่ผลลัพธ์สุดท้าย ชาวโลกคงต้องอดใจรอดูกันในวันเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่ช้านี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี