ช่วงเวลาที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤติและเหตุการณ์มีแนวโน้มพัฒนาไปสู่ทิศทางที่หนักขึ้นอย่างมีนัย บางส่วนบอกสะท้อนวิกฤติการเมืองสมัยพฤษภาปี’35 แต่บางส่วนบอกมีที่มาคล้ายฮ่องกงไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ทางออกของสถานการณ์เช่นนี้คือการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางคลี่คลายเหตุการณ์อย่างเร่งด่วน โดยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัยประธานรัฐสภา ก็ได้เรียกหัวหน้าพรรคการเมือง ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเข้าหารือในเรื่องนี้ และได้มีกำหนดการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญขึ้นในวันที่ 26-27 ตุลาคม นี้ ซึ่งเป็นการเปิดประชุมวิสามัญที่ก่อนเปิดสมัยประชุมไม่นาน
อันที่จริงเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ ในช่วงต้นภาพที่เห็นถูกมองว่าพยายามให้ดูเหมือนว่าเป็นการต่อสู้กันทางการเมืองของคนภายในประเทศเช่นเมื่อพฤษภาปี’35 เป็นภาพที่ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลที่เป็นเผด็จการอะไรทำนองนั้น แต่เอาเข้าจริงการชุมนุมในครั้งนี้ จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่านั้นหรือไม่? และเป็นเพียงการเมืองภายในประเทศจริงๆ หรือ? ไม่มีการสนับสนุนทางการเมืองหรือทางการเงินจากต่างชาติเช่นเดียวกับม็อบที่ฮ่องกงจริงหรือ? และไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศของยักษ์ใหญ่อย่าง สหรัฐฯ จีน ที่กำลังกระทบไปในหลายประเทศในเอเชียเลยหรือ?
หากย้อนมาดูอิทธิพลการเมือง สหรัฐฯ และจีนในเอเชียพบว่า ในระยะหลังจีนเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นโดยเฉพาะทางการค้า ที่เริ่มเปลี่ยนจากประเทศผู้ผลิตสินค้าให้ทั่วโลกมาเป็นประเทศผู้ลงทุนในประเทศต่างๆ และแน่นอนตามมาด้วยอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งกำลังจะเข้ามาแทนที่พี่ใหญ่เดิมอย่างสหรัฐฯที่คุมภูมิภาคนี้ ตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่มีอิทธิพลสูงสุดภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้า การเมืองและการทหาร การเติบโตของจีนทางด้านการค้าและการลงทุนในระยะหลังที่ก้าวกระโดดมากสวนทางกับสหรัฐฯในภูมิภาคแต่สิ่งที่สหรัฐฯปูทางไว้มากกว่าจีนในภูมิภาคคือกองกำลังสหรัฐฯ กองเรือรบสหรัฐฯ ที่กระจายตัวในจุดสำคัญทั่วโลก และ NGOs ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนสหรัฐฯที่สนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองในประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยได้รับเงินสนับสนุนจากทางการสหรัฐฯ และมักถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ประกอบกับด้วยนโยบายการต่างประเทศของผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันแล้ว จึงทำให้คำว่าสงครามทะเลจีนใต้ถูกพูดถึงบ่อยขึ้นในปีสองปีนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการทำสงครามการค้าระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เป็นการต่อสู้ในรูปแบบภาษีและการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอย่างกรณีการแบนบริษัทเทคโนโลยีของจีนโดยสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจาก 1.สหรัฐฯอ้างว่าพบการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของจีน รวมถึงกฎหมายห้ามต่างชาติครอบครองกิจการ มีผลให้นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการลงทุนในจีนต้องมีคนจีนเป็นหุ้นส่วนร่วมด้วย จึงเป็นการกดดันให้หลายบริษัทต้องยอมถ่ายเทคโนโลยีให้ เพื่อให้สินค้านั้นเข้าสู่ตลาดจีน 2.สหรัฐฯหวั่นนโยบาย Made In China 2025 ที่จีนมีความพยายามที่จะพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูง รวมไปถึงสินค้าไฮเทค หรือไม่ 3.สหรัฐฯต้องการลดการขาดดุลการค้ากับจีน โดยการที่ทรัมป์ออกนโยบาย American First “อเมริกาต้องมาก่อน”
อย่างไรก็ตาม การเกิดเหตุการณ์การเมืองในประเทศต่างๆ ที่มีความเกี่ยวพันกับจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคนับวันยิ่งหนักและมากขึ้นและแม้ฮ่องกงเองที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของจีนเองก็ไม่เว้น เช่นเดียวกับไต้หวันที่จีนก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีนเช่นกัน สงครามกลางเมืองฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก NGOs นั้นหลายฝ่ายจึงมองว่าไม่ธรรมดาและน่าจะมีเบื้องหลัง?
กลับมาที่บ้านเรา โดยในช่วงไม่กี่ปีผ่านมาภายใต้รัฐบาลทหารก่อนหน้านี้เราถูกมองจากต่างชาติโดยเฉพาะรัฐบาลสหรัฐฯว่ามีความใกล้ชิดกับจีนทางการค้ามากขึ้นหรือไม่? ประกอบกับการแสดงท่าทีหลายครั้งของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต่อการแสดงความเห็นในการเมืองไทยที่มากขึ้นลึกขึ้นและกดดันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน หรือแม้กระทั่งกองทัพสหรัฐฯ ต่อการซ้อมรบหรือการสนับสนุนต่างๆ ที่ดูเหมือนจะมีท่าทีที่เปลี่ยนไป จึงน่าคิดไปต่างๆ นานาว่า สหรัฐฯมองไทยอย่างไรตอนนี้และกำลังคิดจะทำอะไรกับไทย ที่ซึ่งถือเป็นฐานหลักฐานหนึ่งในการเมืองระหว่างประเทศสหรัฐฯในภูมิภาคและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญในการทหาร
จึงน่าคิดว่า เหตุใด NGOs ต่างประเทศจึงเข้ามาสนับสนุนกลุ่มนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวบางส่วนจนในเวลาต่อมามีการขยับขยายกลายเป็นการชุมนุมที่มีเนื้อหาไม่ธรรมดาแตกต่างจากการชุมนุมทางการเมืองที่ล้มรัฐบาลในอดีตของไทย เพราะครั้งนี้มีเนื้อหาที่หลุดมาหลายต่อหลายครั้งที่พาดพิงถึงการปกครองสูงสุดของประเทศ ที่ไม่ใช่เพียงนายกรัฐมนตรี
เช่นเดียวกับม็อบฮ่องกง ที่ไม่ได้คาดหวังเพียงเปลี่ยนผู้นำฮ่องกง แต่คาดหวังถึงการโค่นอำนาจรัฐบาลจีนใหญ่ที่อยู่ในอำนาจสูงสุดของฮ่องกง แม้ผู้ประท้วงจะไม่มีการระบุเป้าหมายชัดเจน แต่การเคลื่อนไหวครั้งนี้หลายฝ่ายกำลังจับตาว่ากำลังทำบางอย่างคล้ายกับในฮ่องกงหรือไม่?
ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียนและได้เพิ่มความสัมพันธ์กับจีนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานอกจากนี้ไทยยังมีท่าทีปฏิเสธหลายครั้งที่จะเข้าร่วมกับสหรัฐฯในการกดดันจีนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ หรือไม่? สิ่งเหล่านี้เกี่ยวพันกับการเมืองในประเทศเราหรือไม่ในตอนนี้?
ก่อนหน้านี้พบข่าวการให้เงินสนับสนุน แก่กลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ไม่อาจระบุได้ แต่โดยมากมาจาก NGOs ที่มีที่มาจากต่างประเทศ และพบว่าส่วนหนึ่งสภาคองเกรสของสหรัฐฯจะมอบเงินให้กระทรวงต่างประเทศเผื่อนำไปให้องค์กรต่างๆเหล่านี้ แต่บังเอิญว่าองค์กรเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่สนับสนุน โจชัว หว่อง แกนนำการชุมนุมที่ฮ่องกง
โดยองค์กรเหล่านี้ที่สหรัฐฯสนับสนุนอยู่นี้มีเป้าหมายที่สวยหรูอย่างหนึ่ง ว่าทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้เป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยแบบใดล่ะที่องค์กรเหล่านี้ต้องการ ก็จะโน้มน้าวไปแบบนั้น ใช่หรือไม่?
มีเรื่องบังเอิญอีกอย่างว่า แกนนำผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนบางคนไปมีปฏิสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายแกนนำผู้ชุมนุมที่ฮ่องกงอย่างโจชัว หว่อง และมีรูปถ่ายปรากฏทั่วไป รวมถึงกรณีข่าวการสร้างกลุ่มพันธมิตรชานมไข่มุก ที่เป็นการร่วมตัวกันของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ไทย-ไต้หวัน-ฮ่องกง แล้วอะไรคือส่วนเชื่อมที่แท้จริง? อุดมการณ์? ผู้สนับสนุน?
เช่นเดียวกับการชุมนุมที่ฮ่องกง เนื่องจากในวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมาปรากฏคลิปภาพการชุมนุมที่ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ไหนมีการหยิบยกประเด็นฮ่องกงมาพูด โดยมีการพูดในที่ชุมนุมว่า “ฮ่องกงเป็นประเทศ คืนเอกราชให้ฮ่องกง” ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่? การกระทำเช่นนี้ถ้าเป็นจริง น่าคิดว่าแกนนำหรือผู้ส่งสารคิดอะไรอยู่?
นอกจากนี้ในวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมามีนักเคลื่อนไหวของไทยคนหนึ่งก็ได้ออกมาโพสต์แจ้งว่า โจชัว หว่อง ได้แจ้งตนว่าเขาจะไปแสดงพลังสนับสนุนการต่อสู้ของคนไทยต่อต้านเผด็จการที่หน้าสถานกงสุลใหญ่ ที่ฮ่องกง และยังได้กล่าวต่ออีกว่า ประชาชนฮ่องกงช่วยกระจายข่าวการต่อสู้ของคนไทยให้ทั่วโลกรู้ แล้วก็มาเชิญชวนให้คนไทยช่วยฮ่องกงที่ถูกกดขี่เสรีภาพด้วยการติด #save12hkyouths รณรงค์กดดันให้รัฐบาลจีนและฮ่องกงปล่อยตัวเยาวชน 12 คน ที่ถูกจับให้กลับคืนสู่อิสรภาพทันที การออกมาโพสต์เช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของนักเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างแปลกหรือไม่ และเป้าหมายของผู้สนับสนุนม็อบสองชาตินี้ต้องการอะไร ?
การคัดค้านของคนฮ่องกงและไต้หวัน ต่อ นโยบาย จีนเดียว (One China Policy) ของประเทศจีน ที่มีเป้าหมายในการนำเอา ไต้หวันและฮ่องกงกลับมารวมกับแผ่นดินใหญ่ดังเช่นเดิม เพราะคนจีนที่แผ่นดินใหญ่เชื่อว่า ฮ่องกงและไต้หวัน ไม่ใช่ประเทศแต่เป็นส่วนหนึ่งของจีน ส่วนไต้หวันและฮ่องกงก็เชื่อว่า ตนเองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจีนแต่เป็นประเทศที่มีเอกราชเป็นของตนเอง
ด้วยการมองที่แตกต่างกันเช่นนี้ จึงเชื่อว่าเป็นช่องว่างให้ต่างชาติ โดยเชื่อว่าคือสหรัฐฯเข้ามาแทรกแซงได้ โดยที่ฮ่องกงมีการปลุกระดมเยาวชนบนเกาะฮ่องกงให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลจีน จนเป็นสาเหตุให้ระบบเศรษฐกิจของฮ่องกงเสียหายเป็นอย่างหนัก ถูกมองได้ว่าเพื่อบีบให้รัฐบาลจีนใหญ่ต้องยอมตามเงื่อนไข โดยมีประชาชนส่วนที่เหลือในฮ่องกงเป็นตัวประกันหรือไม่? เมื่อดูตัวเลขความเสียทางเศรษฐกิจของฮ่องกงหลังจากมีการชุมนุมในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่าเศรษฐกิจของประเทศฮ่องกงเข้าสู่สภาวะถดถอยในรอบ 10 ปี หลังจากมีการชุมนุมเกิดขึ้นกระทบภาคการค้าและบริการภายในประเทศ ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจฮ่องกงในไตรมาส 3/2019 ติดลบ -3.2% จากไตรมาสที่ผ่านมาเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ที่เศรษฐกิจฮ่องกงติดลบ -0.5% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 2008 นอกจากนี้ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฮ่องกงร่วงลง 2.9% ในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2561 หลังจากที่จีดีพีดิ่งลง 2.8% ในไตรมาส 3
แต่คำถามคือ ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและปัญหาโควิดเช่นนี้ เรามีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปมีส่วนร่วมอะไรกับการชุมนุมในฮ่องกง
ในส่วนประเทศไทยนั้นหลังจากที่มีการชุมนุมเกิดขึ้นได้มีการสำรวจภาคสนามของหน่วยงานหนึ่ง (สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “ทำไม ทำร้ายประเทศไทยของฉัน” เปิดเผยว่าประชาชนส่วนใหญ่เสียหาย แย่หนักลงไปอีก คิดเป็นร้อยละ 92.8 ในขณะที่ร้อยละ 7.2 ไม่แย่ไม่เสียหาย และเมื่อสำรวจถึงความเป็นทุกข์และเดือดร้อนจากการชุมนุมในวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติโควิด-19 ระลอกที่ 2 ที่หลายคนต่างกลัวว่าจะทำให้แย่ลงไปอีก คิดเป็นร้อยละ 97.3 ในขณะที่เพียงร้อยละ 2.7 ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน เมื่อมองดูการฟื้นตัวของตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ติดลบอยู่ที่ร้อยละ 6-7 แต่หากการชุมนุมครั้งนี้ไม่ยืดเยื้อและจบโดยเร็ว ก็คาดว่าแนวทางที่กระตุ้นออกมาในช่วงไตรมาสที่ 4 จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้ติดลบเพียงร้อยละ 7-9 เท่านั้น และหากมองถึงตัวเลขการลงทุนในประเทศนั้น นายเทิดศักดิ์ (ผู้บริหารสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส)วิเคราะห์ว่าตั้งแต่มีการชุมนุมในเดือน ส.ค. ถึงปัจจุบัน ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหลักทรัพย์ ปรับตัวลดลงร้อยละ 7.4 เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออกมากกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท และเงินบาทอ่อนค่าลงร้อยละ 1.8
“ยาดีกินขมปากแต่เป็นประโยชน์แก่คนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่เพราะหูแต่เป็นประโยชน์แก่กาลภายหน้า”
อองลุย สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี