“เมื่อ 15 ปีที่แล้วเคยเขียนบทความชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นเขียนนิตยสารรายสัปดาห์ บทความชื่อ “Food Politic อดตายอ้วนตาย” ประมาณปี 2544 ที่อินเดียมีเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตหรือฆ่าตัวตายจากการอดตายถึง 13 รัฐแต่ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ส่งออกอาหารของอินเดียไปต่างประเทศ ของถูกเก็บไว้ในไซโลจนล้นเกิน หนูก็มาแทะเน่าเสีย
เขาบอกว่าถ้าเอาข้าวสาลีหรือธัญพืชที่อยู่ในนั้นมาเรียง ไป-กลับโลกกับพระจันทร์ได้สบายๆ แต่ในขณะที่คนอดตาย เราก็เลยสนใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น มันอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ แต่มันมีหลายเรื่อง มันมีทั้งเรื่องความอดอยาก การเข้าไม่ถึง หรือเข้าถึงแบบล้นเกิน หรือเข้าถึงแบบไม่มีคุณภาพ แล้วมันก็มีเรื่องการแทรกแซงเชิงนโยบายที่ทำให้เราต้องบริโภคบางอย่างและไม่ได้บริโภคบางอย่างด้วย”
เรื่องเล่าจาก กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ดำเนินรายการเช้าทันโลก สถานีวิทยุ FM96.5 ซึ่งมารับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเสวนา “การเปลี่ยนแปลงระบบอาหาร ปัจจัยทางสังคม (เมือง) กำหนดสุขภาพ และ การลดโรค NCD” ที่ รร.ที.เค.พาเลซ ย่านหลักสี่-แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เปิดประเด็น “การวางนโยบายของรัฐที่ส่งผลต่อการได้รับอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และถูกหลักคุณค่าทางโภชนาการของประชาชน” โดยยกตัวอย่างประเทศอินเดียไว้อย่างน่าสนใจ
จากอินเดียย้อนมองกลับมาที่ประเทศไทย นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ปัญหาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ว่า “โครงสร้างการปกครองของรัฐไทยนั้นรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลางแต่มีการแบ่งแยกอำนาจ” มีหน่วยงานมากกว่า30 กรม รวมถึงมีหน่วยงานส่วนภูมิภาคที่รับผิดชอบในส่วนของจังหวัด ซึ่งการกระจายอำนาจหลากหลายรูปแบบนั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2541 ปัจจุบันมีทั้งเทศบาลเมือง เทศบาลนคร เทศบาลตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
รวมถึงเขตปกครองพิเศษ 2 แห่ง อย่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา มีข้อน่าสังเกตว่า ในประเทศไทยมี อปท. แบบเทศบาลจำนวนมาก เนื่องจาก อปท. แต่ละประเภทถูกจำกัดขนาดพื้นที่ไว้ตามกฎหมาย เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแต่พื้นที่เทศบาลที่มีอยู่เดิมไม่สามารถขยายตามประชากรจึงขยายตัวล้นข้ามเข้าไปในฝั่ง อบต. ที่อยู่ติดกัน ทำให้ อบต. นั้นยกระดับขึ้นมาเป็นเทศบาลบ้างแต่ปัญหาคือเทศบาลที่เกิดใหม่นี้มักมีขนาดเล็ก ไม่สามารถดำเนินบริการสาธารณะเพื่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมีแม้กระทั่งบางแห่งไม่สามารถซื้อรถขยะได้
“อันนี้คือปัญหาใหญ่ของระบบที่เรียกว่าแบ่งแยกแล้วปกครองของกระทรวงมหาดไทย อันนี้ต้องพูดแรงๆ เพราะถ้าไม่เปลี่ยนแปลงประเทศไทยก็จะไม่มีทางพัฒนาได้ เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้มีจำนวนเทศบาล มีจำนวน อบต. มากขนาดนี้ไม่ได้ ในแง่รัฐศาสตร์มันดี แต่ในแง่เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ” นิพนธ์ กล่าว
นักวิชาการ TDRI ผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า จากการเก็บข้อมูลเทศบาลกลุ่มตัวอย่างจำนวน 31 แห่ง พบว่า หลายเรื่องแม้จะกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเทศบาล แต่ในความเป็นจริงเทศบาลขนาดเล็กไม่สามารถทำได้ จึงต้องปล่อยให้ราชการส่วนภูมิภาคทำแต่ราชการส่วนภูมิภาคก็ไม่สามารถทำได้อีก เช่น “การจัดหาอาหารในขั้นตอนขายส่ง” อีกประการหนึ่งคือในขณะที่เทศบาลต้องทำงานกับหน่วยงานราชการจำนวนมาก แต่ระบบราชการไทยก็ยังไม่สามารถบูรณาการได้อย่างแท้จริง
ขณะที่ ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ประธานแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยกตัวอย่างพื้นที่ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ที่มีความพยายามจัดหาวัตถุดิบประกอบอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการส่งไปยังโรงเรียนเพื่อทำอาหารกลางวันเลี้ยงเด็กนักเรียน โดยเน้นที่มาจากเกษตรกรในท้องถิ่นเพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชน ด้านหนึ่งเกษตรกรต้องไปเรียนรู้ทั้งการปลูกและระบบการจัดซื้อ-จัดจ้าง ส่วนอีกด้านโรงเรียนก็ต้องดำเนินการภายใต้เงื่อนไข “ต้องไม่ผิดระเบียบราชการ” ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะลงตัว
“มีตัวอย่างตำบลหนึ่ง เขามีโรงคัดบรรจุย่อยจากห้างสรรพสินค้า ไปรับซื้อผลผลิตที่เป็นอินทรีย์ ที่นี่เขาทำอินทรีย์อยู่แล้ว เขาได้รับการสนับสนุนต้นทุนทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำหรืออะไร พอมีระบบโรงคัดบรรจุซึ่งเรามีกฎหมาย อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ที่บอกว่าโรงคัดบรรจุต้องมีการตรวจสารเคมี เกษตรกรบอกว่าระบบโรงเรียนมันน่าปวดหัว มีระเบียบมากมาย
ฉะนั้นเขาส่งเข้าโรงคัดบรรจุย่อยสะดวกกว่ามากไม่จำกัดผลผลิต ไม่จำกัดปริมาณ แล้วก็ไม่ต้องมาทำแผนทุก 3 เดือน ว่าต้องการอาหารอะไร ตรงนี้เขาก็เลยมี Feedback (เสียงสะท้อน) ว่ามันจะง่ายกว่าหรือไม่ถ้ามันมีนโยบายที่ลดความยุ่งยากตรงนี้ แล้วทำให้ชุมชนสามารถส่งผลผลิตเข้าสู่โรงเรียนได้” ทพญ.จันทนา กล่าว
อีกด้านหนึ่ง นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ที่มากล่าวเปิดงานเสวนาครั้งนี้ ในตอนหนึ่งได้กล่าวถึง อปท. ว่า ประเทศไทยมีความพยายามกระจายอำนาจกันมาหลายสิบปี โดยเรื่องของท้องถิ่นจะมี 2 ประเด็นสำคัญคือ 1.เงินหรืองบประมาณ กับ 2.วิธีการทำงานและบทบาท และแม้ปัจจุบันการกระจายอำนาจอย่างจริงจังจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ยังเห็นท้องถิ่นหลายแห่งพยายามคิดนวัตกรรมการทำงาน ซึ่งนวัตกรรมก็เป็นสิ่งที่เริ่มแล้วก็ต้องเรียนรู้และปรับเปลี่ยนกันต่อไป
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ซึ่งปัญหาด้านระบบราชการเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ประชาชนเสียโอกาสที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างข้างต้นในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) หรืออื่นๆอีกมากมาย แต่ครั้นจะฝากความหวังไว้กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ก็ไม่รู้จะได้มากน้อยเพียงใด เพราะรัฐธรรมนูญไทยใช้มาแล้วหลายฉบับ..แต่เสียงบ่นเรื่องนี้ก็ยังมีมากเช่นเดิม!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี