ที่ผ่านมา การเมืองไทยภายใต้ระบอบเสรีประชาธิปไตยนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ส่งผลให้ต้องล้มลุกคลุกคลาน หรือถอยเข้าถอยออก อันสืบเนื่องมาจากการที่พรรคการเมืองไม่ประพฤติตนให้สมกับหน้าที่ของพรรคการเมือง ผสมกับการที่นักการเมือง ผู้ที่ควรจะกระทำตนเป็นตัวแทนของประชาชนพลเมือง ก็กลับไปคิด และเป็นตัวแทนให้กับพรรคพวกตนเอง ซึ่งมากไปด้วยผลประโยชน์แอบแฝง การทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจโดยมิชอบ
แล้วเมื่อใดที่ประชาชนพลเมืองเจ้าของประเทศและอำนาจอธิปไตยอดรนทนไม่ได้ ก็จะออกมาทำการประท้วง ยิ่งในระยะหลังๆ ก็มักจะแบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย เข้าเผชิญหน้า หักล้างกัน จนในที่สุด ฝ่ายกองทัพก็มักจะทำตนเป็นพระเอกขี่ม้าขาวอาสาเข้ามาจัดการบ้านเมืองเพื่อให้เรียบร้อยอยู่หลายครั้งหลายครา ก่อนจะคืนอำนาจ จัดการเลือกตั้งขึ้นมา แล้วสังคมการเมืองไทยก็วนเวียนกลับไปวุ่นวายใหม่ กลับไปอีหรอบเดิมๆ ไม่ก้าวหน้าหลุดพ้นหล่มการเมืองเสียที
แต่ครั้งหลังสุด ได้มีสิ่งที่เปลี่ยนไปไม่น้อยนั่นคือฝ่ายกองทัพเลือกที่จะไม่คืนอำนาจให้ประชาชนแบบเต็มใบ โดยใช้วิธีการตบแต่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ปี 2560) ให้เอื้ออำนวยต่อการสืบทอดอำนาจ กลายเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
มาบริหารประเทศต่อไป (หลังจากที่เป็นรัฐบาลจากการทำรัฐประหารมาแล้ว 5 ปี)
ณ วันนี้ จึงกล่าวได้ว่า ฝ่ายกองทัพนั่นคือตัวต้นเหตุของความขัดแย้งในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาการบ้านการเมืองไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้
และแล้ว ปลายเหตุก็ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการที่ประชาชนได้รวมตัวกันออกมาต่อต้าน และทำการประท้วงการคงอยู่ของฝ่ายกองทัพในสนามการเมืองของไทย จนถึงขนาดที่เรื่องได้ลามปามไปจนถึงการจะตีกรอบ-ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นขั้นต้นในกระบวนการล้มล้างความเป็นราชอาณาจักรของไทย
ข่าวลือ ผสมกับการพยากรณ์ของโหรการเมืองก็เลยลอยตามลมมาว่า น่าจะมีการรัฐประหารอีกครั้งเพื่อต่ออายุรัฐบาลทหารนำพา
ซึ่งฝ่ายกองทัพต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมา การปฏิวัติรัฐประหารนั้นไม่ได้เป็นการแก้ที่ต้นตอของปัญหา เพียงแค่ช่วยระงับปัญหา หรือบอนไซปัญหาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ช่วยทำให้การเรียกร้องต่างๆ จางหายไป ซึ่งยังคงครุกรุ่นอยู่ และรอวันที่จะระเบิดออกมาอีกครั้ง นอกจากว่า ต้นตอของปัญหาจะถูกแก้ไขอย่างจริงจัง
ซึ่งในวันนี้ หากมีการยึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพอีกครั้งจริง ฝ่ายกุมอำนาจก็คงไม่ต้องแปลกใจ หากสังคมไทยจะได้เห็นการออกมารวมตัวประท้วงแบบ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” จากฝ่ายต่อต้าน ที่เคลื่อนไหวผ่านทางเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไม่ลดละ
ฉะนั้น การประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึกจึงไม่ใช่หนทางแก้ไข
อีกทั้ง การใช้อำนาจบริหาร และการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือการเมือง ก็ไม่ใช่ทางออกเช่นกัน
และการนิ่งเฉย ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า “ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย” และต้องรักชาติและสถาบัน โดยฝ่ายบริหารนำโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ไม่ได้ลดปัญหา หากแต่ยังเป็นการเพิ่มความร้อนแรงของปัญหาเสียอีกด้วย
ทางออกคือ รัฐบาลจะต้องรับฟัง นำไปขบคิด แล้วเปิดเวทีเสวนากัน ซึ่งก็สามารถจัดให้มีหลายๆ เวทีและจัดคู่ขนานกันได้ อาทิ
1.เวทีรัฐสภา
2.เวทีฝ่ายรัฐบาล
3.เวทีสถาบันวิชาการ
4.เวทีภาคประชาชน
5.เวทีสื่อมวลชน เป็นต้น
จากนั้นก็ต้องหาข้อสรุปร่วมกัน และมีการตั้งกติกา หรือสัญญาประชาคมที่ทุกฝ่ายทุกหมู่เหล่าต้องตกลงรับรองกัน ซึ่งคงจะได้แก่
1.การจะคงไว้ซึ่งความเป็นราชอาณาจักรของรัฐชาติไทย
2.การมุ่งสร้างราชอาณาจักรไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยแบบสากล หรือสมบูรณ์แบบดังที่รัชกาลที่ 7 ได้ทรงรับข้อเสนอมากจากคณะราษฎร
3.ในการใดๆ ต่อจากนี้ การเป็นสาธารณรัฐ จะต้องไม่อยู่ในสารบบของความคิดอ่าน หรือในจิตวิญญาณของประชาชนพลเมืองไทยผู้ใดอีกต่อไป
ทั้งนี้ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยนั้นยังมิได้มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มใบ แล้วยังถูกกฎหมายจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งเติมเข้าไปอีก ฉะนั้นทุกหมู่เหล่าจะต้องร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมมือกัน ในการได้มาซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างเร็วไว พร้อมไปกับความเชื่อและความมุ่งมั่นว่า ราชอาณาจักรไทยกับความเป็นเสรีประชาธิปไตยนั้น เป็นคู่แฝดกัน หรือไปด้วยกันได้อย่างสง่างาม
ในวิกฤติการเมืองไทยครั้งนี้ ก็ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงข้าราชการระดับสูงต่างๆ ให้เลิกทำนิ่งเฉย และออกมาขยับสติปัญญา ด้วยความรักชาติบ้านเมือง แล้วลงมือแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุกันอย่างจริงจังได้แล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี