ประเทศไทยเป็นหนึ่งในดินแดนที่ท้องถนนอันตรายเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่ในปี 2561 ระบุว่าไทยอยู่ในอันดับ 9ของโลกด้านการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลหลายชุดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหามาตรการมาลดความสูญเสีย แต่ล่าสุด ความหวังดีของภาครัฐได้นำมาสู่ข้อถกเถียงในสังคมอีกครั้ง
ย้อนไปช่วงปลายเดือน ต.ค. 2563 มีข่าวว่า กรมการขนส่งทางบก กำลังเสนอให้เพิ่ม “เบาหวาน-ความดัน-ลมชัก” เข้าไปในกลุ่ม “โรคต้องห้ามขับขี่ยานพาหนะ” และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างรุนแรง ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยเพราะหากผู้ป่วยโรคเหล่านี้อาการกำเริบขึ้นมาอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บล้มตายได้แต่อีกฝ่ายที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า โรคเหล่านี้หากดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ก็สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทุกประการ อีกทั้งเป็นโรคประจำตัวมนุษย์ที่เข้าสู่วัยกลางคน การห้ามย่อมส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
ทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” ได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป ซึ่งพบทั้งฝ่ายเห็นด้วยกับแนวคิดของกรมการขนส่งทางบก อาทิ “วีรภัทร” ชายวัย 21 ปี มองว่า แม้จะเป็นข่าวร้ายของผู้ป่วยโรคกลุ่มนี้ แต่หากมองในแง่ดีก็เป็นการปกป้องชีวิตของผู้ป่วยเอง เพราะโรคดังกล่าวล้วนมีผลในการช็อก หรืออาจจะควบคุมสติในการขับรถไม่ได้ดีและคงที่ หากเกิดเหตุการณ์กะทันหันจะเป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อนร่วมทาง
ส่วนฝ่ายคัดค้าน “มลสิชา” หญิงวัย 30 ปี ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่จะห้ามผู้ป่วยกลุ่มโรคดังกล่าวขับขี่ยานพาหนะ เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงบางรายก็ยังสามารถขับขี่ได้ตามปกติ ดังนั้นหากจะห้ามก็ต้องมีเกณฑ์ในการตัดสินว่าผู้ป่วยรายได้สมควรอนุญาตหรือสมควรห้าม เช่น โรคความโลหิตสูงจะระดับความดันที่ทำให้วูบหรือหมดสติ เป็นต้น
มุมมองจากนักวิชาการ ศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หากเป็นในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จะมีการแบ่งผู้ใช้ยานพาหนะออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ยานพาหนะส่วนบุคคลทั่วไป อาทิ รถเก๋ง รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ ที่จดทะเบียนเป็นรถส่วนบุคคล2.ยานพาหนะสาธารณะ อาทิ รถบัสโดยสาร และ3.ยานพาหนะประเภทพิเศษ อาทิ รถบรรทุก รถพ่วง
ซึ่งยานพาหนะกลุ่มที่ 1 แม้จะเป็นโรคเบาหวาน-ความดันแต่หากสามารถดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ได้ กฎหมายก็ยังอนุญาตให้ขับขี่ได้โดยที่ไม่ต้องรายงานกับหน่วยงานของรัฐที่ดูแลด้านการขนส่งทางบกเพียงแต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา กรณีไม่แจ้งขนส่งฯ ประกันภัยอาจสงวนสิทธิ์ที่จะช่วยจ่ายค่าเสียหาย หรือผู้ขับขี่อาจมีความผิดด้วย แต่ยังไม่ถึงขั้นไม่อนุญาตให้ขับขี่
ขณะที่กลุ่มที่ 2 กับกลุ่มที่ 3 กฎหมายกำหนดให้ต้องแจ้งให้ขนส่งฯ ทราบ และต้องมีใบรับรองแพทย์ด้วยว่าผู้ประสงค์จะขับขี่ยานพาหนะกลุ่มนี้สามารถดูแลตนเองได้เนื่องจากบริการรถสาธารณะนั้นต้องรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสาร ขณะที่รถบรรทุก-รถพ่วง เป็นพาหนะขนาดใหญ่หากเกิดอุบัติเหตุจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นรุนแรงกว่ารถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ทั่วไป
“ส่วนโรคลมชักก็คล้ายๆ กัน ถ้าคุณไม่เคยชักภายใน 2 ปีที่ผ่านมา คุณก็ขับได้ ในอังกฤษ ในฝรั่งเศส อะไรพวกนี้คล้ายๆ กัน แต่บางประเทศไม่เหมือนกัน อย่าง สหรัฐอเมริกา ถ้าคุณไม่เคยชักภายใน 6 เดือน เขาก็ยอมให้คุณขับ แต่ตอนนี้บางรัฐเขาก็เปลี่ยนเป็น 1 ปี เช่น ฟลอริดา จาก 6 เดือน เขาก็บอกว่าภายใน 12 เดือนที่ผ่านมาถ้าคุณไม่เคยชักคุณมีสิทธิ์ขับ อันนี้โรคลมชัก แต่บางประเทศเขาไม่ให้ขับเลย อย่างเช่น อินเดีย จีน ถ้าคุณมีประวัติว่าเคยเป็นโรคลมชัก ไม่ว่าคุณจะหายมาแล้วกี่ปีเขาก็ไม่ให้ขับ” ศ.ดร.พิชัย กล่าว
ศ.ดร.พิชัยกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องทำหากต้องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนคือ “ก่อนจะสอบใบขับขี่อันหมายถึงการได้รับอนุญาตให้ขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน ในต่างประเทศมีการฝึกอบรมค่อนข้างยาวนานพอสมควร” เพื่อให้การขับขี่กลายเป็นทักษะที่เคยชิน ลดความเสี่ยงเมื่อออกสู่ถนนให้น้อยที่สุด เช่น ออสเตรเลีย ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 120 ชั่วโมง ส่วน อังกฤษ ต้องผ่านการเรียนภาคทฤษฎี 45 ชั่วโมง ภาคปฏิบัติอีก 20 ชั่วโมง
หรือประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของไทยอย่าง มาเลเซีย ต้องผ่านภาคทฤษฎี 6 ชั่วโมง เพื่อรับใบอนุญาตหัดขับรถ (Learner Driving License) โดยผู้ถือเอกสารนี้ต้องมารายงานตัวทุกๆ 3 เดือน เมื่อครบ 2 ปีแล้วจึงจะได้สอบใบขับขี่ แต่หากสอบไม่ผ่านก็จะต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ ซึ่งระหว่าง 2 ปีที่ใช้ใบอนุญาตหัดขับรถนั้นจะมีข้อจำกัด เช่น ห้ามใช้ความเร็วเกิน 80 กม./ชม.ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดต้องเป็น 0 เป็นต้น ในขณะที่ประเทศไทย เป็นที่ทราบกันว่าอบรมภาคทฤษฎีเพียง5 ชั่วโมง และภาคปฏิบัติเพียง 10 ชั่วโมงเท่านั้นก็สามารถสอบใบขับขี่ได้แล้ว
“เราไม่ต้องไปคิดใหม่ เขาคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประเทศที่การตายเขาน้อยๆ เขาใช้แบบนี้หมด ผมว่าอันนี้น่าจะเป็นประเด็นใหญ่กว่าเรื่องเบาหวาน-ความดัน ซึ่งผมเดาเอาว่าไม่น่าจะเยอะ ก็คงมีคนที่ขับๆ อยู่แล้วฟุบ แต่คงไม่น่าจะเยอะเมื่อเทียบกับการตายบนท้องถนนวันละ 60 ราย 75% หรือประมาณ 42 ราย เป็นมอเตอร์ไซค์ อันนี้รายวันเห็นชัด คือต้องทำไปควบคู่กัน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจเบาหวาน-ความดัน เราก็ต้องสนใจเพราะทุกชีวิตมันมีค่า” ปธ.คณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วสท. ระบุ
ด้าน นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ อธิบายว่า โรคเบาหวานหรือโรคความดันที่ไม่สามารถขับขี่ยานพาหนะได้ หมายถึงผู้ป่วยที่ไม่ได้ควบคุมตนเองตามคำแนะนำของแพทย์จนมีอาการรุนแรง เช่น ความดันโลหิตสูงขั้นที่ 4 ที่ค่าความดันเกิน 230 หากไม่ได้รับการรักษาจะเสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดแตก หรือโรคเบาหวานที่มีอาการรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาก็มีโอกาสเกิดอาการช็อกได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อเกิดขณะขับขี่ยานพาหนะย่อมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้
“โดยส่วนตัวที่ทำเรื่องนี้มาผมเห็นด้วยแต่ว่าไม่ใช่ความดันทุกคนห้ามขับ เบาหวานทุกคนห้ามขับ อันนี้ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นความดัน-เบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมที่อยู่ในระยะที่เป็นอันตราย อันนี้เป็นอันที่ต้องประกาศให้ชัดๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่ 2 โรคนี้ มีอีกเยอะ” นพ.วิทยา กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี