วันที่ 5 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวระหว่างการบรรยายพิเศษเปิดหลักสูตร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63 ตอนหนึ่งว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ใช่จะอยู่ยาว 20 ปี จะตายวัน ตายพรุ่ง ยังไม่รู้เลย
“ผมไม่เคยคิดว่าต้องมายืนตรงนี้ นี่อยู่มา 6 ปี แล้ว แต่ยังยืนอยู่ได้ยังไงวะเนี่ย หวังทุกคนคงเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจกันคงไปยาก ผมก็หวังว่า ในวันหน้า ถ้ามีคนที่เก่งกว่าผมดีกว่า ซื่อสัตย์กว่าผม หรือซื่อสัตย์เหมือนผม ก็คงมาทำงานต่อไปให้รับผิดชอบประเทศต่อไป
การมามีอำนาจไม่ใช่เรื่องสนุก ผมใช้อำนาจมาเยอะ ตอนเป็นทหาร ผบ.ทบ.4 ปี ผมเบื่อการใช้อำนาจ ผมใช้ในการดูแลคนทำความดี และลงโทษคนที่ทำไม่ดี แค่ 2 อย่างนี้ยังยากเลย อย่าใช้อำนาจในทางที่ไม่ดี หลายคนบอกผมใช้อำนาจไม่ถูกต้อง ผมก็ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายตรงไหน ผมทำตามกฎหมายทุกประการ ขอให้ช่วยทำความเข้าใจด้วย
หลายคนอาจจะไม่ชอบผม ยิ่งไม่ชอบ ผมก็ยิ่งต้องทำท่านไม่รักผม แต่ผมรักท่านทุกคน ก็เขาคือ คนไทยนี่นา หน้าตาก็คนไทย ผมไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร ฝากทุกคนช่วยกัน สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติให้ได้ รักษาแกนหลักของประเทศชาติให้ได้”
ทันใดนั้นเอง นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาสวนผ่านเฟซบุ๊ค Panich Vikitsreth - พนิต วิกิตเศรษฐ์ ระบุว่า ผมมั่นใจว่า“กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” ฉันใด “เมืองไทยวันนี้ก็ไม่สิ้น” ฉันนั้น ความว่า...
ในกรณีที่ท่านนายกฯได้กล่าวเปิดหลักสูตร วปอ.63 ตอนหนึ่งว่า“ถ้าวันหน้า มีคนที่ดีกว่า เก่งกว่า ซื่อสัตย์กว่าผมซื่อสัตย์เหมือนเดิม ก็คงมาทำงานต่อไป ให้รับผิดชอบประเทศต่อไป”
เป็นคำพูดที่สื่อให้เห็นว่า ท่านนายกฯกำลังคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของการบริหารประเทศ และตนเองเป็นเหมือนซูเปอร์แมน นำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จได้แต่เพียงผู้เดียว คงไม่มีใครที่จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าตน และยังพูดว่าถ้ามีใครเก่งกว่าตัวเอง ซื่อสัตย์กว่าตัวเอง ก็ให้เข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งในความเป็นจริงตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา มีนายกรัฐมนตรีที่มีคุณสมบัติไม่ด้อยกว่าท่านนายกฯ หรืออาจจะเหนือกว่าท่านด้วยซ้ำไปอีกหลายคน เช่น ฯพณฯ ชวน, ฯพณฯอานันท์, ฯพณฯ สุรยุทธ์, ฯพณฯอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย หรือข้อหาการทุจริตในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลย
ท่านนายกฯคงต้องตอบคำถามกับสังคม ที่ได้ลงคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐและท่านเองได้เป็นนายกฯ เมื่อการเลือกตั้ง วันที่ 24 มีนาคม 2562 ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ข้อ
(1) “อยากได้ความสงบต้องจบที่ลุง” - แต่ในที่สุดความสงบ ที่สังคมคาดหวัง ได้จบที่ลุง จริงหรือไม่ ที่ผ่านมาอาจจะเกิดภาพลวงตาว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรี บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ก็เพราะเป็นยุค คสช. ที่มีมาตรา 44 อยู่ในมือ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงทำให้บ้านเมืองสุขได้
(2) “กระแสกลัวระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจอีกครั้ง” - สุดท้ายท่านนายกฯก็ใช้บริการลิ่วล้อ หรือคนรอบข้างของระบอบทักษิณในอดีตทั้งหมด มาทำค้ำบัลลังก์ของตัวเอง
จึงอยากจะเรียนให้ท่านนายกฯ ทราบว่า ยังมีคนไทยอีกหลายคน ที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งความรู้ ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต และความเป็นนักประชาธิปไตยมากกว่าตัวท่านด้วยซ้ำไปอีกจำนวนมาก ขออย่าได้กังวลกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะ“กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี “ฉันใดก็ฉันนั้น”
ครับ, เอาแค่สองชุดคำพูดนี้มาวางเทียบกัน เราก็จะเห็นว่า “การเมืองไทย” ตอนนี้ หมุนอยู่รอบคำว่า “เอา/ไม่เอาประยุทธ์” หรือ ประยุทธ์คือโอกาสหรือปัญหาของประเทศ โดยตั้งอยู่บนฐานคิดที่ว่า ประยุทธ์งงว่า “ผมผิดอะไร”
เนื่องจากประเทศไทย พลเมืองส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ดังนั้นเราลองเอาหลักการของพระพุทธศาสนา มาอธิบายการเมืองเรื่อง “ประยุทธ์/ไม่ประยุทธ์” กันดูสักหน่อยดีกว่า
1) ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบกที่ทำการรัฐประหาร หลังมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตร อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนกระทั่งเหลือแค่“รัฐมนตรีรักษาการ” เพียงไม่กี่คน หลังศาลตัดสินคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบ ส่งผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรักษาการ (เพราะยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภา และการจัดการเลือกตั้งใหม่เป็นโมฆะ เนื่องจากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ในวันเดียวอันเนื่องมาจากบางเขตเลือกตั้ง ไม่มีผู้สมัคร สส. แต่รัฐบาลรักษาการนั้นก็ยังดันทุรังจัดการเลือกตั้ง ท่ามกลางการต่อต้านของผู้ชุมนุม กปปส.) ต้องพ้นจากอำนาจรักษาการไปคงเหลือแค่รัฐมนตรีรักษาการเพียงไม่กี่ราย ที่ “ไม่มีอำนาจ” จะทำอะไรให้บ้านเมืองมีทางออกได้ เพราะอำนาจไม่พอ ไม่มีกฎหมายรองรับให้ทำหลาประการ สุดท้าย หลังทหารประกาศกฎอัยการศึก และเปิดให้คู่ขัดแย้งฝ่ายต่างๆ มาพูดคุยหาทางออกกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวในที่ประชุมนั้นว่า “หากฝ่ายการเมืองไม่ยอมแก้ปัญหานี้เราจะสูญเสียโอกาสในการแก้ปัญหาบ้านเมืองไป” และสุดท้ายก็เป็นตามนั้น เพราะฝ่ายการเมือง คือ รัฐมนตรีรักษาการที่มีอยู่นำโดยนายชัยเกษม นิติสิริ ไม่ยอมลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการใช้รัฐธรรมนูญหาทางออก ด้วยการให้รองประธานวุฒิสภา (ประธานต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนหน้านี้) ใช้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ กราบบังคมทูลเพื่อให้มี “รัฐบาลชั่วคราว” ขึ้นมา ดำเนินการ “ปฏิรูปประเทศ” ก่อนจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป
ด้วยสถานการณ์ หลักการ และทางออกที่ไม่มีของประเทศชาติในยามนั้น ผบ.ทบ.ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้ “ยึดอำนาจ” เพราะ “กระหายอำนาจ” ทว่ายึดอำนาจเพื่อเปิด “ทางออก” ให้แก่สถานการณ์ที่ฝ่ายการเมืองไม่ยอม“ลดราวาศอก” ให้แก่กัน จนบ้านเมืองตีบตัน และรับผลจากความขัดแย้งดังกล่าว อันเนื่องมาจากการใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตอนค่อนรุ่งอันเป็นการใช้เสียงส่วนใหญ่ของสภาประชาธิปไตย ไปทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมที่เลวทรามที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะกฎหมายดังกล่าว หากมีผลบังคับใช้ จะทำให้ประชาชนคนเสื้อแดง ตำรวจ ทหาร ชาวบ้าน สื่อมวลชน จำนวนหนึ่งต้อง “ตายฟรี” ไม่มีกระบวนการยุติธรรมใดๆ จะมอบให้ แม้กระทั่งคดีที่เข้าสู่กระบวนการของศาลสถิตยุติธรรมแล้ว ยังสั่งให้ศาลยุติการพิจารณา ในช่วงนั้นจึงพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ มิได้ถูก “รังเกียจ” จากคนส่วนใหญ่ มีบ้างที่ออกมาต่อต้าน ด้วยหลักการว่า รัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตย
2) ถัดมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกที่จะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ด้วยตัวเอง พร้อมๆ กับการเป็น “หัวหน้า คสช.” ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เพราะการสั่งการในฐานะรัฏฐาธิปัตย์จะได้คล่องตัว ไม่สับสน ไม่แยกกันระหว่างความเป็นรัฐบาลกับความเป็นคณะรัฐประหาร และกระแสต่อต้านก็มีไม่มาก
3) คสช. ปล่อยเพลง “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา” เป็นความหวังให้คนที่อยากเห็นการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” รู้สึกมีความหวังโดยหวังว่า 1.รัฐบาลอยู่ไม่นานหรอก (บ่งบอกว่าไม่เสพติดอำนาจ ไม่ประสงค์จะมีอำนาจนานนัก) กับ 2.การปฏิรูปจะเป็นจริง
4) แต่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็อยู่นานขึ้นเรื่อยๆ นานจนถูกทวงถามว่า เมื่อไหร่จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนของประชาชนจริงๆ มาทำหน้าที่บริหารประเทศเสียที ส่วนการปฏิรูปนั้น ก็ตั้งสภาปฏิรูปประเทศขึ้นมา 2 ชื่อ 2 ชุด แต่ประชาชนก็ไม่เคยเห็นเนื้อหาที่พวกเขาทำกันออกมา ว่าจะปฏิรูปอะไร อย่างไร และเมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่มีการเหมาโรงแรม “ส่งมอบพิมพ์เขียวการปฏิรูป” ให้แก่รัฐบาล
5) ด้วยแรงบีบคั้นทางการเมือง ด้วยการอยู่ในอำนาจนานเกินไป จนคนชักเริ่มไม่ไว้ใจ พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้เริ่มกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ผ่อนคลายแรงดันในกาน้ำเดือดให้ทุเลาลงได้บ้าง
6) ทว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก กลับถูกตีตกในชั้น สนช. (มาไม่ถึงมือประชาชน) ท่ามกลางเสียงบ่นของบวรศักดิ์ว่า“เขาอยากอยู่ยาว” จากนั้นมีการเชิญนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มาเป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องการปฏิรูปที่ไม่ได้จริงจังจริงใจ การบริหารประเทศที่ไม่ได้สดใสทางเศรษฐกิจ และอาจเสพติดการมีอำนาจ จนไม่เร่งผลักดันเรื่องรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งอย่างแท้จริง
7) เกิดการ “เสียบ” เงื่อนไขแปลกๆ เข้ามาในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนทำประชามติ คือมี “บทเฉพาะกาล” ให้อำนาจ สว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ 5 ปี และที่มาของ สว. ก็ถูกเปลี่ยนให้ คสช.แต่งตั้งเองจำนวนหนึ่ง กับเป็นผู้เลือกในขั้นตอนสุดท้าย จากกลุ่ม สว.ที่เลือกไขว้กันมาในกลุ่มอาชีพและสถานภาพทางสังคม โดยเป็นเงื่อนไขที่ คสช. ร้องขอกับสภา มันจึงเกิดความระแวงว่า นี่คือการเตรียมการ “สืบทอดอำนาจ” ของหัวหน้า คสช. ใช่หรือไม่
8) เมื่อจะทำประชามติ เกิดการกีดกันกลุ่มเห็นต่าง ไม่ให้รณรงค์ได้อย่างเสรี ไม่เหมือนกับฝ่ายที่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับติดตาต่อกิ่ง ถึงขนาดจับกุมคุมขังก็ยังมี เนื้อหารัฐธรรมนูญเองก็มิได้มีการแจกจ่ายอย่างทั่วถึง แถมล่าช้า เกิดกระแสการเมืองในทำนองว่า รับๆ ไปเถอะ แล้วไปแก้เอาทีหลัง เอา คสช. ออกไปให้ได้ก่อน กับอีกกระแสหนึ่งคือ ถ้าไม่รับรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ พล.อ.ประยุทธ์ (ซึ่งเวลานั้นคนยังนิยมชมชอบอยู่ไม่น้อย) จะต้องพ้นจากอำนาจนะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นแถลงข่าวพร้อมเตือนว่า รัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาแบบนั้นมีคำถามพ่วงแบบนั้น และมีบรรยากาศการทำประชามติแบบนั้นจะสร้างปัญหาความขัดแย้งยาวไปจนถึงอนาคต
9) แล้วรัฐธรรมนูญก็ผ่านประชามติ พร้อม “คำถามพ่วง”พล.อ.ประยุทธ์ มักตั้งคำถามให้ประชาชนไปตอบอยู่เนืองๆ ว่าด้วยเรื่องของการมีพรรคการเมืองใหม่ๆ เอาอย่างไรกับนักการเมืองเก่าๆ ถ้ารัฐบาลหลังการเลือกตั้งไม่มีธรรมาภิบาล จะทำยังไง สร้างบรรยากาศให้ประชาชนคนไทย “ระแวงการกลับมาของบรรดานักการเมือง” เกมทางจิตวิทยาในเวลานั้น จึงเป็นเรื่องของ ทหารผู้ปกป้องชาติและจัดระเบียบสังคมใหม่ (วินรถตู้, จักรยานยนต์รับจ้าง, ชายหาด ฯลฯ) กับนักการเมืองขี้ฉ้อ คุณจะเอายังไง
10) กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งพรรคการเมือง และ กกต. ออกมา มี “กลุ่มการเมือง” ชื่อ “สามมิตร” เริ่มเคลื่อนไหวเจรจากับนักการเมืองกลุ่มต่างๆ ท่ามกลางคำถามว่า ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ถูกคำสั่ง คสช. ห้ามเคลื่อนไหว ทำไมนักการเมืองกลุ่มนี้เคลื่อนไหวได้ และสุดท้ายนำมาซึ่งการเกิด “พรรคพลังประชารัฐ” ที่รวมเอานักการเมืองแบบที่ หัวหน้า คสช. เคยตั้งคำถาม มาอยู่พรรคเดียวกันและเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกติกาใหม่ ที่ต้องให้แจ้งชื่อคนที่จะเป็นนายกฯ กับกกต. ล่วงหน้า
11) ก่อนถึงวันเลือกตั้ง มีการสร้างกระแส “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” ขณะที่ขั้วตรงข้าม เช่น พรรคเพื่อไทยพรรคอนาคตใหม่ เน้นเรื่อง ไม่เอาเผด็จการ และการสืบทอดอำนาจ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องถูกบังคับว่า มีแค่เผด็จการ กับขี้โกงให้เลือก เรามีทางเลือกอื่นนะแล้วเสนอตัวเองเป็นทางเลือกที่ 3 ที่มากกว่าคู่ขัดแย้งทั้งสอง ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ก็ขายแคมเปญ “สานต่อภารกิจ 2475” ในหมู่นิสิตนักศึกษาด้วย
12) นักการเมืองบางคนให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า พรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งแน่นอน เพราะ “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อเรา” กับบางคนที่ย้ายพรรคบอกในทำนองว่า “รัฐธรรมนูญเขียนมาเพื่อให้บางพรรคชนะ ไม่ย้ายพรรคมาก็โง่แล้วล่ะ”
13) พรรคไทยรักษาชาติสร้างปรากฏการณ์แตกตื่นจากการเสนอชื่อ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในที่สุดเกิดการวินิจฉัยของศาลว่าเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง สั่งยุบพรรค ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค และมีการเผยแพร่เอกสารของสำนักพระราชวัง ระบุว่า แม้จะลาออกจากฐานันดรศักดิ์แล้ว ทูลกระหม่อมก็ยังคงเป็นสมาชิกในราชวงศ์อยู่โดยสายพระโลหิต
14) ในทางมวลชน มีการส่งสัญญาณในทำนองว่า “พล.อ.ประยุทธ์ คือ คนที่ถูกเลือกแล้ว” ต่อมามีการปล่อยภาพ พล.อ.ประยุทธ์นั่งอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับในหลวง ร.9และคืนก่อนการเลือกตั้ง มีการอัญเชิญพระบรมราโชวาทเรื่องการส่งเสริมคนดีให้มีอำนาจ เผยแพร่ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
15) ผลการเลือกตั้งออกมา พรรคเพื่อไทยมีจำนวน สส.มากที่สุด แต่ส่อเค้าว่าไม่อาจรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยคือตัวแปร และสำคัญยิ่งกว่านั้นคือการคำนวณคะแนนของ กกต. ส่งผลให้ สส.พึงมี ของพรรคอนาคตใหม่หายไปมาก และเกิดมี สส.ทศนิยมเกิดขึ้นจำนวนมากเช่นกัน และทั้งหมดนั้นถูกชักชวนมา “ร่วมรัฐบาล”กับพรรคพลังประชารัฐ เกิดกระแสปลุกเร้ามวลชนกดดันพรรคประชาธิปัตย์ให้ร่วมรัฐบาล แม้อดีตหัวหน้าพรรคจะประกาศไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มาก่อน และหัวหน้าพรรคคนใหม่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จะเคยปราศรัยว่าการให้ สว. มาร่วมโหวตนายกฯ คือ “ประชาธิปไตยวิปริต” มาก่อนก็ตาม
สุดท้ายตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็บริหารเศรษฐกิจ การเมือง อย่างกระท่อนกระแท่นมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
เพราะมี “เหตุปัจจัย” ทั้งปวงดังที่ไล่เลียงมาใช่หรือไม่ จึงได้มี “วันนี้” วันที่รัฐธรรมนูญต้องแก้ สว.ต้องปิดสวิตช์ สถาบันต้องได้รับผลกระทบจากการเมือง?
ช่วยกันคิด ช่วยกันทบทวนครับ “เพราะมีวันนั้นเช่นนั้น จึงมีวันนี้..เช่นนี้”
วันที่เรามีนายกฯ “เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริตไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร”ดังคำรำพึง!?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี