วลีที่ว่า “ผมผิดตรงไหน” นั้นเป็นการแสดงอารมณ์ของความน้อยเนื้อต่ำใจของผู้กล่าว มักเป็นไปในทางเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ด้วยความที่ขาดการใช้สติและปัญญา ขาดการมองย้อนเข้ามาที่ตนเอง เนื่องจากมีอัตตาเป็นตัวตั้ง จึงมิเคยได้เห็นความผิดของตนเองเลยแม้แต่น้อย
และเมื่อได้ยิน “ท่านผู้นำ” ประเทศไทย กล่าววลีนั้นออกมา ก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ดึงสติของท่านผู้นำ ด้วยความเคารพ ความหวังดี (ชนิดไม่มีนอกมีใน ไม่มีปัญหาความเป็นมนุษย์ร่วมโลก) และด้วยความเป็นประชาชนพลเมืองไทย โดยหวังลึกๆ ว่าท่านผู้นำและคณะผู้สมรู้ร่วมคิดร่วมประกอบการ จะกรุณาเปิดใจรับฟัง และนำไปพินิจพิจารณาเพื่อจักได้หลุดพ้นจากสภาพแห่ง ฉันเป็นความถูกต้องแต่ผู้เดียวสักที
ก็คงต้องเริ่มต้นกันที่ว่า ปัญหาต่อบ้านเมืองและอนาคตที่ดูมืดมนนั้น มักจะเป็นผลพวงมาจากการที่มีใครบางคน บางกลุ่มได้กระทำการที่ไม่เหมาะสม และไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมซึ่งเราเรียกกันว่าต้นตอของปัญหา
ปัญหาของท่านผู้นำนั้นเริ่มตั้งแต่ การดำเนินการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ซึ่งผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ แถมยังพยายามครอบครอง และสืบทอดอำนาจรัฐ อันเป็นการผิดหลักการประชาธิปไตยที่ว่า ข้าราชการประจำ รวมทั้งกองทัพ จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายพลเรือน และฝ่ายกองทัพหรือข้าราชการอื่นๆ หนึ่งใด ไม่มีสิทธิและหน้าที่ในเรื่องการเมือง (เมื่อใดที่ฝ่ายกองทัพเข้ามาครอบงำการเมือง ก็ถือเป็นการขัดขวางเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยโดยปริยาย)
นอกจากกองทัพจะมีสถานะภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายการเมืองพลเรือนแล้ว ฝ่ายกองทัพนั้นยังมีกษัติย์ผู้ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย เป็นเจ้านายเหนือหัว นั่นจึงแปลว่า การที่กองทัพดำเนินการยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ถือเป็นการกระทำการที่หมิ่นพระเกียรติ เพราะเกินพระเนตร พระกรรณ พระพักตร์ ขององค์ประมุข เป็นความผิดอันมหันต์
จะด้วยเหตุจำเป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ผู้ดำเนินการรัฐประหารสมควรจะต้องรีบออกมาขอพระราชทานอภัยโทษ และขอโทษต่อปวงชนชาวไทย และจักต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่ตนได้ก่อไว้อย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเลวร้ายใดๆ อันจะนำไปสู่การเกิดรัฐประหารในอนาคตอย่างเด็ดขาด
การที่กองทัพอ้างตนว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จึงมีสิทธิ์ที่จะก่อการยึดอำนาจนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรยอมรับได้ในสังคมไทยอีกต่อไป เพราะปวงชนชาวไทยนั้นเป็นเจ้าของประเทศ และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ชาวไทยจึงเป็นผู้มีสิทธิ์ และหน้าที่ในการรับผิดชอบร่วมกันกับกองทัพที่จะปกป้องทั้งสามสถาบัน ทหารจะรวบเอาความจงรักภักดีไปเป็นของตนแต่ฝ่ายเดียวมิได้
สิ่งที่ตามมาหลังจากการไม่ได้ปฏิรูปประเทศ และการเมืองตามที่ท่านผู้นำประกาศไว้เป็นสัญญาประชาคม ก็คือการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองและพรรคพวกทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด เพราะกฎหมายสูงสุดของประเทศมีไว้เพื่อปวงชนชาวไทยเป็นหลัก เป็นสำคัญเท่านั้น ซึ่งจะต้องธำรงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย (ที่เป็นสากล) ที่ไม่น้อยหน้าบรรดาอารยประเทศ และโดยเฉพาะราชอาณาจักรอื่นๆ ที่เขาเป็นกันมายาวนาน
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ท่านผู้นำถูกแวดล้อมไปด้วยบุคคลที่มีประวัติด่างพร้อย มีบุคคลสีเทา มาดำรงตำแหน่งและมุ่งเสวยอำนาจ มากกว่าการรับใช้ประเทศและประชาชนพลเมือง โดยที่แม้จะมีเสียงอื้ออึงจากสังคม ท่านผู้นำเองก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง แล้วมันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปได้อย่างไร? เพราะผู้นำประเทศจะแวดล้อมด้วยคนไร้ความดีงามมิได้ นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของการขาดความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือจากสังคม ซึ่งนำมาสู่การขับไล่ เผชิญหน้าในวันนี้
การแวดล้อมด้วยบุคคลร่วมงานสีเทาๆ ก็แย่เรื่องหนึ่งแล้ว ยิ่งสำทับด้วยการไม่ทำการใดๆ อย่างเฉียบขาด กับผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง แถมยังมีท่าทีในทำนองปกป้อง ยิ่งสะท้อนวัฒนธรรมการเล่นพรรคเล่นพวก และการไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสภาวะจิตใจ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ชาวบ้านเขาคาดหวังจากตัว “ท่านผู้นำ” ว่าควรจะเป็นบุคคลที่ทำแต่สิ่งที่ดีงาม
ยิ่งการปล่อยปละละเลยกับพรรคพวก โดยอำนวยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ภายใต้ชื่อการร่วมมือรัฐ-เอกชน ก็มีนัยของการเอื้อประโยชน์ เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน และนำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจเศรษฐกิจ และความมั่งมีศรีสุข และเสริมสร้างความเหลื่อมล้ำของสังคม ซึ่งนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นของคนยากจน และการถ่างออกของช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน ส่งผลให้ความนิยมที่เคยมีเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
การพยายามเรียกความนิยมด้วยการดำเนินการนโยบายและมาตรการประชานิยมเป็นหลัก ก็แสดงผลให้เห็นแล้วว่าเป็นการสูญเสียเงินภาษีไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นแค่การหาคะแนนนิยม และปัดปัญหาออกไปวันๆ แถมยังเป็นการตอกย้ำลัทธิการพึ่งพา แบมือขอ แทนที่จะส่งเสริม วางมาตรการเพื่ออำนวยให้ผู้คนพึ่งตนเอง และอยู่ด้วยศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
สังคมไทยมีผู้หาเช้ากินค่ำ ทั้งเกษตรกร แรงงานโรงงาน และผู้บริการ ผู้ค้าขายรายย่อย ร่วม 30 ล้านคน จึงเป็นชนหาเช้ากินค่ำและรอ “ใบบุญ” จากภาครัฐที่เอาเงินภาษีของคนส่วนรวมไปใช้จ่ายอย่างขาดวินัย ความโปร่งใส และผู้รับผิดรับชอบ ขาดการสอดส่อง ตรวจสอบ ประเมินผลดีผลเสีย เป็นการบริหารราชการบ้านเมืองแบบเอาง่ายเข้าไว้
และเมื่อบริหารบ้านเมืองแบบซ้ำๆ ซากๆ ก็สร้างปัญหาให้กับสังคมหนักหน่วงขึ้นไปเรื่อยๆ และไม่มีการนำเอาปัญหามาศึกษา พินิจพิเคราะห์ เพื่อหาทางออก และชี้แจงต่อสาธารณชน แล้วเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก็กลับมาพูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง ให้ทุกคนเห็นอกเห็นใจ ให้รักสามัคคี ให้เห็นแก่เสถียรภาพ ให้รักชาติ บ้านเมือง รักศาสน์ และรักสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่คิดคำนึงที่จะทำตนให้เป็นแบบอย่าง มีความจริงใจและมุ่งมั่นต่อบ้านเมืองและผู้คน ฉะนั้น ความน่าเชื่อถือจึงไม่มี และไม่มีผู้คนเดินตาม ทำตาม เพราะต่างเห็นว่า เป็นแค่วาทกรรม เป็นนิทานการเมืองเท่านั้น และกลวง โบ๋ หลวม ขาดความจริงใจ จริงจัง
โดยรวม เมื่อเข้าสู่อำนาจที่ผิดทำนองคลองธรรม และอยู่ต่อในอำนาจด้วยวิธีการเล่ห์กลเล่ห์กระเท่ของตนเอง ก็เป็นการสร้างปัญหาเท่านั้นเอง และก็เป็นการผิดพลาดอย่างยิ่ง ซึ่งสมควรได้พิจารณาตนเองและยอมรับเสียทีว่า ที่เป็นมาทั้งหมด คือความผิดของท่านผู้นำเองทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อบ้านเมือง ต่อความสมัครสมานสามัคคี และต่อความเจริญก้าวหน้า
เมื่อผิดแล้ว ก็ต้องยอมรับและแก้ไข เพื่อให้สถานการณ์ทุเลาลงแต่เท่าที่สังคมได้เห็นก็คือการลอยหน้าลอยตา ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจจะรับผิดชอบ ผลักภาระไปที่โน่นที่นี่ ตนเองก็ชิ่งหลบหลีกไป ตะโกนปาวๆ ว่าตนเองไม่ใช่ “เป้า” ซึ่งไม่ได้ตระหนักเลยว่า หากเป้าถูกชี้ไปที่อื่น จะส่งผลเสียต่อความแตกแยกในสังคมทวีคูณมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นความผิดยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้ น่าจะตอบคำถามที่ว่า “ผมผิดอะไร?” ของท่านผู้นำได้ครบถ้วน
จะรับผิด แล้วรีบลงมือแก้ไขก็ต้องรีบๆ ทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ไม่งั้นก็คงต้องถูกไล่ล่า ถูกกดดันไปเรื่อยๆ จนไม่มีทางออกอื่นใดนอกจากลุกไปให้พ้นๆ แล้วปล่อยให้คนอื่นมาลงมือแก้ไขแทนในที่สุด
นอกจาก ตัวท่านผู้นำเอง ที่ทำความผิดซ้ำซาก ก็ต้องไม่ลืมว่า บรรดากองเชียร์ของท่านผู้นำก็ผิดไม่แพ้กัน เพราะหลับหูหลับตาเชียร์กันโดยไม่ใส่ใจข้อเท็จจริงกันเลยว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิดก็พอเข้าใจได้ว่า บ้างอาจจะต้องการห้อยโหน บ้างก็เพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทน บ้างก็เพราะจงเกลียดจงชังคนหนึ่งคนใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดแบบงมงาย
แต่การที่แฟนคลับทั่วไป ถึงขนาดยกท่านผู้นำให้กลายเป็นอภิสิทธิ์ชน ชนิดแตะต้องไม่ได้ ก็ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวของสังคม เพราะเมื่อไม่สามารถแยกแยะผิดถูก ก็จะแห่ตามกันไปแบบหน้ามืดตามัว แทนที่จะยืนหยัดด้วยสติและปัญญา รักในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้ท่านผู้นำได้เห็นและรับทราบทิศทางที่ตนเองควรจะเดินหน้าไป จึงกล่าวได้ว่า แฟนคลับนั้นคือตัวเร่งปฏิกิริยาของฝ่ายต่อต้านให้มีความรุนแรงขึ้นไปโดยปริยาย
ในวันนี้ หากจะถอดสลักระเบิดของวิกฤติการเมือง นอกจากตัวท่านผู้นำ จะต้องยอมรับความผิดพลาดต่างๆ ที่ตนเองได้กระทำมาตั้งแต่ต้น และเดินหน้าประกาศลงมือแก้ไขอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และมีระยะเวลาที่ชัดเจนแล้ว กองเชียร์ และแฟนคลับของท่านผู้นำก็จะต้องตั้งสติ เพื่อช่วยคัดท้ายกระบวนการแก้ไขปัญหาท่านผู้นำ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรมด้วย
มิเช่นนั้นแล้ว สังคมไทย ก็คงไม่พ้นต้องพายเรืออยู่ในอ่าง วนไปมาระหว่าง ประท้วง รัฐประหาร แก้ไขรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง อย่างไม่จบไม่สิ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี