“ภัยพิบัติทางธรรมชาติ” แม้จะเกินกำลังมนุษย์ในการป้องกัน แต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่จะลดความเสียหายให้น้อยลงได้ ซึ่งสำหรับประเทศไทย มีกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เป็นกลไกหลัก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการรับมือภัยพิบัติในไทยยังมีปัญหาหลากหลายประการ ดังที่หลายท่านได้กล่าวไว้ในงานเสวนา “ข้อจำกัดของการจัดการภัยพิบัติในสังคมไทย” จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเร็วๆ นี้
เสียงสะท้อนจากผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุญโชค ขำปราง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปากพนังฝั่งตะวันออก จ.นครศรีธรรมราชกล่าวว่า จากนายก อบต. ในพื้นที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์ภัยพิบัติตามระเบียบของรัฐอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากเครื่องมือที่ได้รับการสนับสนุน คือ “งบประมาณ”หากท้องถิ่นไหนไม่มีเงินในขณะที่เกิดภัยพิบัติ จะช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยได้ล่าช้ามาก
“ในช่วงพายุปลาบึก อบต. ใช้งบประมาณช่วยเหลือเยียวยาไปถึง 5 ล้านบาท ใช้เวลา 15 วัน ในการฟื้นฟูหลังจากที่ประสบภัย โดยเตรียมความพร้อมในเรื่องของวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องหลังคาบ้าน เนื่องจากเป็นสิ่งแรกที่จะเสียหายเมื่อพายุเข้า หลังจากพายุสงบลงจึงได้เตรียมถุงยังชีพ เพราะเมื่อชาวบ้านกลับบ้านของตน เรื่องของอาหารจะไม่มีกิน เนื่องจากโดนนำท่วมพัดพาหายจึงทำให้เห็นว่าการช่วยเหลือชาวบ้าน อันดับแรกที่ทำให้ช่วยเหลือได้อย่างท่วงทีคือท้องถิ่น จึงไม่ควรรอหน่วยงานอื่นมาช่วยเหลือ ควรพึ่งตัวเองเป็นอันดับต้นๆ” บุญโชคยกตัวอย่าง
ขณะที่ ทรงวุฒิ อินทรสวัสดิ์ นายก อบต.บางวัน จ.พังงา ตั้งข้อสังเกตเรื่อง “ระเบียบราชการ” ว่า ในท้องถิ่นมีระเบียบจำนวนมาก ทำให้การเบิกจ่ายเพื่อช่วยเหลือเยียวจากภัยพิบัติเกิดความล่าช้า จึงต้องใช้เครดิตของตนเองในการเชื่อสิ่งของช่วยเหลือเยียวจากห้างร้านไปก่อนนอกจากนี้แล้วในแต่ละท้องถิ่นมีบรรทัดฐานในการช่วยเหลือไม่เหมือนกัน บางขั้นตอนมีความยุ่งยาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ “รัฐควรเพิ่มกฎหมายให้อำนาจท้องถิ่นสามารถประกาศภัยพิบัติได้” เพื่อให้สามารถนำทรัพยากรที่ท้องถิ่นมีอยู่ใช้ในการช่วยเหลือเยียวยา
ด้านตัวแทนฝ่ายการเมือง วุฒิชัย กิตติธเนศวร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.นครนายก พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ปภ.) กล่าวว่า การป้องกันภัยต่างๆยังไม่สามารถช่วยลดความสูญเสียให้น้อยลงได้มากนัก โดยขาดศักยภาพการเชื่อมโยงและบูรณาการกันอย่างเป็นระบบ ด้วยข้อจำกัดหายประการทั้งเชิงโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน หรือกฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวยให้ชุมชนมีสิทธิจัดการด้วยตัวเอง
จึงทำให้เกิดเป็นแนวคิดการระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคีเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาสาระสำคัญของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ให้เท่าทันกับสถานการณ์ภัยพิบัติในปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย กมธ.ปภ. จะจัดตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วยนักวิชาการและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกประกอบการแก้ไข พ.ร.บ. ฉบับนี้ เพื่อเพิ่มกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และกำหนดให้ภาครัฐต้องสนับสนุนทรัพยากรแก่ชุมชนในการจัดการภัยพิบัติด้วยตนเอง
มุมมองจากภาคประชาสังคม ไมตรี จงไกรจักร ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท เล่าว่า ทำงานร่วมกับ สสส.ในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี 2554 เริ่มจากการสนับสนุนให้บ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จัดทำแผนรับมือคลื่นสึนามิ ทั้งการเตรียมความพร้อมให้ชุมชน และประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ปัจจุบันมีพื้นที่นำร่อง 11 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ปทุมธานี สมุทรสาครระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล นครศรีธรรมราช และสงขลา ทุกพื้นที่ต่างมีกลไกการจัดการตัวเอง และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่มากขึ้น
แต่ก็ยังพบอุปสรรคบางประการ เช่น “มีประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึงสิทธิการช่วยเหลือจากรัฐ”เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางราชการมายืนยัน หรือ “มีความพยายามจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เพื่อสนับสนุนส่งเสริมชุมชนเตรียมความพร้อมการจัดการภัยพิบัติ แต่ยังขาดการรับรอง” ซึ่งมูลนิธิจะร่วมกับกมธ.ปภ. สนับสนุนการแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเสริมศักยภาพการทำงานรับมือภัยพิบัติในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงให้หน่วยงานรัฐสามารถจัดสรรทรัพยากรลงสู่ชุมชนได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
ปิดท้ายด้วยตัวแทนภาครัฐ ชัชดาพร บุญพีระณัฐผู้อำนวยการกองนโยบายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยมีวิวัฒนาการเพื่อบรรเทาสาธารณภัยมานานแล้ว แต่มุ่งเน้นเฉพาะรูปแบบ “เกิดภัยค่อยว่ากัน” จึงทำให้ปัจจุบันต้องเปลี่ยนมามุ่งเน้นในเรื่องกันป้องกันภัยเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งเรียกว่า “การจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย” โดยเป็นประเด็นที่เพิ่งเกิดขึ้นมาของการลดความเสี่ยง โดยมีแผนเพื่อบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ปัจจุบันใช้ฉบับปี 2558 มี 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1.การลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย 2.การบูรณาการให้ใช้งานได้ดีในภาวะฉุกเฉิน 3.การฟื้นฟูจากสาธารณภัย และ 4.แผนยุทธศาสตร์ แต่ก็ยังมีช่องว่างทำให้เกิดผู้ประสบภัยยังได้รับการช่วยเหลือไม่ทั่วถึง จึงทำให้เกิดแนวทางการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยให้กับประชาชนขึ้น แบ่งเป็น 4 ระยะ โดยระยะป้องกันควรเริ่มจาก1.ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนสร้างแนวปฏิบัติ เพื่อลดความเสี่ยงร่วมกัน 2.พัฒนาประสิทธิภาพของมาตรการในด้านการอพยพ เช่น การจัดตั้งศูนย์อพยพให้มากขึ้น
3.พัฒนาระบบการจัดการในภาวะฉุกเฉินสำหรับเมืองที่มีขนาดเล็ก เพื่อลดการกระจุกตัวอยู่แค่เฉพาะเมืองใหญ่ และ 4.เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยควรมีการประเมินทันที เพื่อจะได้ประเมินความเสียหายหลังเกิดเหตุได้อย่างท่วงที ส่วนในระยะฟื้นฟูควรจัดให้ฟื้นฟูทางสังคม ความเป็นอยู่ทั้งด้านด้านกายภาพและด้านจิตใจ การดูแลสถาบันความมั่นคงของครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบตลอดจนควรมีแผนฟื้นฟูและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน
แต่ทั้งหมดต้องอาศัยการระดมทรัพยากรจากทุกภาคส่วน และการบูรณาการกันจากทุกหน่วยงาน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี