ได้ดูคลิปการกินเบียร์เต้นกันในที่ชุมนุมอย่างกะผับกลางถนน การปราศรัยพูดถึงอวัยวะเพศและการร่วมเพศแบบไม่สนสี่สนแปด ตลอดจนการพูดจาบนเวที การเขียนข้อความหยาบคายก่นด่ารัฐบาล ด่าสังคม ด่าประเทศชาติ ด่าสถาบันเบื้องสูง ด่าโคตรเหง้าบรรพบุรุษประเทศตัวเอง ฯลฯ
เห็นคนรุ่นใหม่ที่เผลอไปร่วม ด้วยคาดหวังคุณภาพที่สูงกว่านั้น ยังอดแสดงความผิดหวังไม่ได้
เกิดคำถามว่า นี่มันการชุมนุมทางการเมืองเยี่ยงอารยชน ตามวิถีประชาธิปไตย
หรือชุมนุมปลดปล่อยความดิบถ่อยเถื่อน และขยายปมส่วนตัว เพื่อบำบัดจิตใจ โดยกล่าวโทษทุกสิ่งอย่างที่ทำให้ตนเองไม่ประสบความสำเร็จ ยกเว้นหันกลับไปมองการกระทำของตัวเองกันแน่
1. บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น สถาบันหลักของชาติไม่ใช่เพื่อนเล่น การใช้ความหยาบคายพ่นใส่สถาบันการเมืองต่างๆ มีความเสียหาย และผิดกฎหมาย หากบังคับใช้กฎหมายจริงจัง เหมือนในต่างประเทศ คนที่กระทำคงหมดอนาคตทั้งการเรียนและการทำงาน
ถ้าเฉลียวใจสักนิด ไอ้นักการเมืองนักวิชาการที่มันคอยยุยง ส่งเสริม เยินยอ มันไม่เคยทำเองแบบเดียวกันเลย หรือแม้แต่ให้ลูกหลานคนที่มันรักลงมือทำแบบที่มันยุยงเยินยอให้คนอื่นกระทำด้วยความลำพองใจ
2. หากต้องการงานเทศกาลดนตรี งานเฟสติวัล งานแบบวูดสต็อก ฯลฯ ก็ควรนำเสนอโครงการ หรือไอเดีย เชื่อว่ารัฐบาลเขาพร้อมจะดำเนินการ แค่อดใจรอสักนิด เนื่องจากวันนี้ รัฐบาลห่วงใยชีวิตคนหนุ่มคนสาวจากสถานการณ์โควิดเท่านั้นเอง (ตรงข้ามกับไอ้คนที่มันเป็นอีแอบหนุนการชุมนุม มันไม่เคยห่วงชีวิตใคร มีแต่อยากจะให้มีคนตาย จะได้เอามาขยายผลทางการเมือง คิดดูให้ดี)
เชื่อว่า อีกไม่นาน คงจะมีการจัดงานที่กระตุ้นการท่องเที่ยว งานบันเทิง ความสนุกสนาน มีแน่นอน แต่มิใช่การกระทำแบบไม่สำนึกถึงผลกระทบต่อประเทศชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาวเช่นนี้
3. อ.แก้วสรร อติโพธิ เคยเขียน “ผู้ใหญ่ตอบเด็ก” 20 ข้อ ขอยกมาแค่บางส่วน
“...คุณเหยียบย่ำศรัทธาผู้อื่นด้วยเหตุผลที่คุณพยายามแถ เหตุผลอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้นอยู่ข้อมูลที่คุณมี แต่ศรัทธาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือเหตุผล เช่น การศรัทธาในพระเจ้า ในศาสนา ในประเทศชาติ ในสถาบันกษัตริย์ ในบุญคุณของพ่อแม่ ฯลฯ
...การที่คุณสวมชุดนักเรียน นิสิตนักศึกษา หรือสอนหนังสือตามสถาบันต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าคุณ ปัญญาชน เพราะคนที่เขาใช้ชีวิตรูปแบบอื่น ทำมาหากิน ประกอบธุรกิจการงานต่างๆ จำนวนไม่น้อย มีการศึกษา สติปัญญาและระดับจิตใจสูงส่งจำนวนมากแค่รั้วโรงเรียน ระดับเกรดเฉลี่ย ไม่ได้บ่งบอกระดับสติปัญญาแต่อย่างใด
คุณจะคิดว่าตัวเองฉลาดก็ได้ แต่อย่าคิดว่าคนอื่นโง่ ที่เขาไม่พูดไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องหรือเห็นด้วยกับคุณ
การที่คุณ เพื่อนของคุณ ครอบครัวของคุณมีความเห็นตรงกัน ออกมาประท้วงจนเต็มถนน ไม่ได้แปลว่าคุณคือเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ อย่าเดา อย่าเหมา
คุณโชคดีที่ประเทศไทยทำให้คุณมีอิสระมากพอที่จะพูด แสดงความคิดเห็น แสดงออก ได้อย่างเสรี ถ้าคุณมีความรู้จริง คุณจะรู้ว่าหลายๆประเทศในโลกนี้ทำไม่ได้ แม้คุณจะไม่รักประเทศไทยแต่คุณก็ควรขอบคุณที่ประเทศนี้มีพื้นที่ให้คุณ
...ทุกที่ในโลกมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ปนกัน ไม่มีประเทศไหนปลอดความชั่ว 100% การที่จะทำให้คนนับล้านอยู่ด้วยกันได้ มันจึงต้องมีกรอบกติกา มารยาท ทุกๆ ประเทศมีบริบทที่แตกต่างกัน การมาเปรียบเทียบว่า ใครดีใครด้อยกว่าในเชิงวัฒนธรรม เป็นความเห็นที่ตื้นเขิน ประเทศที่มีกษัตริย์ไม่ได้ด้อยกว่าประเทศที่มีประธานาธิบดี ประเทศสังคมนิยมไม่ได้ด้อยกว่าประชาธิปไตย ถ้าคุณติดตามข่าวสาร คุณจะรู้ว่า ทุกประเทศทุกระบบมีปัญหาทั้งนั้น
...ทุกคนมีสิทธิเสนอความคิดเห็น แต่ไม่ใช่ว่าทุกความคิดเห็นจะต้องถูกนำไปปฏิบัติ ประเทศชาติเป็นเรื่องของส่วนรวม คนเกือบ 70 ล้านคน ย่อมคิดต่างกัน ไม่มีรัฐบาลไหนในโลกทำให้ทุกคนพอใจได้ทั้งหมด ประเทศที่ทะเลาะกันน้อยหน่อย เขาแค่รู้จักหยวน ได้บ้างเสียบ้าง ให้สังคมมันเดินไปข้างหน้า
...คุณอาจจะฉลาด แต่เพื่อนคุณหลายคนยังไม่มีวุฒิภาวะทางความคิด การที่คุณลากเขาไปลงสนามในครั้งนี้ อาจเหมือนคุณพาเขาไปลำบาก หลายคนโกรธรัฐบาล รังเกียจระบอบกษัตริย์ โดยที่ไม่รู้ว่าทำไม บางคนไม่เคยอ่านข่าวเลยด้วยซ้ำแต่ที่โกรธเพราะคนนั้นเล่าคนนี้เล่า หรือเพราะเพื่อนพาไป อย่าโลกสวยว่าไม่มีแบบนี้
...คุณคิดว่าคุณโตแล้วคุณจึงแสดงออกเต็มที่ ฉันหวังว่าคุณจะโตและแข็งแรงพอที่จะรับผลกระทบที่ตามมาได้ คนที่ใส่ชุดนักเรียน ถือป้ายด่าพระมหากษัตริย์ที่คนจำนวนมากเคารพนับถือวันนี้ อาจไม่มีบริษัทไหนรับคุณเข้าทำงานในอนาคต คุณอาจมีคนต่อต้านคุณ ตำหนิคุณ เพราะเขายังโกรธในสิ่งที่คุณทำ เชื่อเถอะมันมีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะทุกคนเป็นมนุษย์ มีรักโลภโกรธหลง คุณโกรธได้เกลียดได้ ผู้อื่นก็เช่นกัน ถ้าคุณกล้าที่จะทำร้ายเค้าทำร้ายความรู้สึกเค้า คุณก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา
...ไม่ว่าคุณจะประท้วงหรือไม่ บ้านเมืองก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีอะไรอยู่ถาวรค้ำฟ้า ถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์ คุณจะรู้ถึงว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัต ต่อให้คุณไม่ทำอะไรเลยมันก็เปลี่ยน เร็วช้าอยู่ที่จังหวะของมัน อย่าไปคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนไปวันนี้พรุ่งนี้อย่างใจคุณ ทุกการเปลี่ยนแปลงจะมีทั้งได้และเสีย อยู่ที่ว่าใครจะได้หรือจะเสีย คิดจะทำการใหญ่ต้องมองให้รอบด้าน ว่าสิ่งที่คุณอยากให้เปลี่ยนมีผลได้เสียอย่างไร ถ้าคุณยังมองไม่ออกคุณควรศึกษาให้ถ่องแท้อีกครั้งก่อนนำเสนอความคิดเห็น...”
4. ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ชวนคิดอย่างผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเมตตาลูกหลาน บอกว่า
“ผมมีความเห็นอยู่ 5 ข้อ ว่าทำไมมันถึง #ไม่จำเป็นต้องคิดจะไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ กันหรอก สถาบันกษัตริย์ของเราก็กำลังพัฒนาไปสู่ความใกล้เคียงและใกล้ชิดกับพสกนิกรของพระองค์เฉกเช่นที่มีการปฏิรูปอยู่แล้ว และจะเป็นไปโดยที่ไม่ต้องมีใครต้องบังคับเหมือนกับสถาบันกษัตริย์ในประเทศยุโรปทั้งหลายครับ
ผมอยากขอแค่ให้ #ใจเย็นกันหน่อย #อดทนกันหน่อย #ไม่ต้องหยาบคายกันหรอก #ไม่ช้าการปฏิรูปก็จะเกิดขึ้นเอง และจะเป็นไปอย่างเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนที่รอคอยและยังหวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ (โดยไม่ต้องแก้ทั้งหมวด 1 และหมวด 2 เลยครับ)
(1) เดิมทีในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี พระเจ้าแผ่นดินของไทยมิได้ดำรงอยู่ในฐานะที่ห่างเหินจากประชาชนเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงทำตัวอย่างให้เห็นดังปรากฏในหลักศิลาจารึกที่ทรงให้แขวนระฆังไว้หน้าประตูวัง ใครเดือดร้อนก็ให้มาตีระฆัง พระองค์ก็จะเสด็จออกมาพบปะพูดคุยรับทราบปัญหาเพื่อนำไปแก้ไขต่อไป
(2) เมื่อมาถึงยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เรายกทัพไปตีเขมรมาเป็นเมืองขึ้นได้กวาดต้อนผู้คนมากรุงศรีอยุธยามากมาย ในจำนวนนั้นมีพวกพราหมณ์รวมอยู่ด้วยพวกพราหมณ์นี้แหละได้นำ “ทฤษฎีเทวราช” จากเขมรมาเผยแพร่ในหมู่ชนชั้นปกครองไทยโดยทำให้ทุกคนเชื่อว่ากษัตริย์เป็น “สมมุติเทพ” ที่สวรรค์ส่งมาเพื่อปกครองประชาชน จึงจะยอมให้กษัตริย์มีฐานะเท่ากับประชาชนไม่ได้ ต้องมีวิธีรักษาระยะห่างกับประชาชนเอาไว้ เช่น ผู้เข้าเฝ้าฯจะสวมเสื้อเหมือนพระมหากษัตริย์ไม่ได้ จะมองหน้าพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เป็นต้น ระยะห่างระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชนจึงมีมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุในหลายสาเหตุทำให้ประเทศสยามต้องเสียเอกราชให้แก่ประเทศพม่าในปี พ.ศ. 2310
(3) ในสมัยราชวงศ์จักรี การปฏิรูปเพื่อลดระยะห่างดังกล่าวได้ถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เราจะเคยชินที่ได้เห็นพระอิริยาบถของพระองค์เมื่อเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ พระองค์ทรงเสวยทุกอย่างที่ประชาชนกินทรงดื่มทุกอย่างที่ประชาชนดื่ม ทรงนั่งทอดไข่ทอดปลาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองทรงนุ่งกางเกงแพรไม่ทรงสวมเสื้อ นั่งบนเสื่อปูบนพื้นดินเสวยกระยาหารร่วมกับผู้ติดตามก็เป็นการปฏิบัติเหมือนอย่างคนไทยทั่วๆ ไปปฏิบัติกันในสมัยนั้น
(4) เมื่อถึงรัชกาลที่ 9 เราได้เห็นพระอิริยาบถ (เฉกเช่นรัชกาลที่ 5) เมื่อเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชน ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ภาพที่พระองค์ทรงนั่งพิงล้อรถจิ๊ปเพื่อปรึกษาหารือกับประชาชนในการแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่ทุกคนคงจะยังจำกันได้
ครั้งหนึ่งเมื่อผมเป็น รมว.แรงงาน (พ.ศ. 2539) ได้นำผู้อำนวยการองค์การแรงงานแห่งสหประชาชาติ (ILO) เข้าเฝ้าฯที่ตำหนักสวนจิตรลดาฯ เมื่อเสร็จธุระ ฝรั่งลุกขึ้นจับมือในหลวงเพื่ออำลา ผมก้มลงกราบพระบาทแล้วคลานถอยหลังก่อนจะลุกขึ้นเพื่อคำนับ แต่พระองค์ท่านตรัสเรียกว่า “ไม่ต้องคำนับแล้ว ฝรั่งเขาไปแล้ว เหลือแต่เราสองคนมาคุยกันหน่อย” ผมทรุดตัวเพื่อจะคลานไปเข้าเฝ้าฯใกล้ๆ พระองค์ตรัสว่า “ไม่ต้องคลานแล้วเดินมาเลยมานั่งเก้าอี้ใกล้ๆ อยากคุยด้วยมานานแล้ว” หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้อธิบายความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่ามีความสำคัญทั้งในระดับชาติและระดับครอบครัวอย่างไร และทรงแนะนำให้ผมไปทำการทดลองตามหลัก “ทฤษฎีใหม่” ซึ่งผมก็ได้ทำสนองพระเดชพระคุณจนถึงปัจจุบันที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
(5) เมื่อรัชกาลที่ 10 สมัยทรงดำรงพระอิสริยยศพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้รัฐมนตรี 3 คนเข้าเฝ้าที่พระราชวังสนามบินน้ำ 3 คนที่ว่าก็คือ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์รมว.มหาดไทย นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.คลัง และผมในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม พวกเราแต่งชุดปกติขาว นั่งเรียงกันหน้าพระที่นั่ง โดยผมนั่งกลาง พลตรีสนั่น นั่งซ้ายมือ ท่านธารินทร์นั่งทางขวามือ เมื่อพระองค์เสด็จมา พวกเราก็ก้มลงกราบตามจารีตประเพณีแต่พระองค์กลับทรงนั่งพับเพียบตรงหน้าของผม ผมกราบทูลว่า พระองค์ควรจะขึ้นไปประทับบนบัลลังก์ พระองค์กลับตรัสว่า “ไม่เอา ก็ทั้งสามเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ไม่อยากนั่งสูงกว่า นั่งคุยกันอย่างนี่แหละดีแล้ว”
ผมจึงไม่เคยรู้สึกประหลาดใจมากนักเมื่อได้เห็นพระองค์และพระราชินีทรงเป็นกันเองกับประชาชนที่มาเข้าเฝ้าฯในปัจจุบันและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นพระมหากษัตริย์ของไทยทรงรับไหว้คนแก่ที่ถวายบังคมและอวยพรแก่พระองค์ และยังได้รับทราบเรื่องคำสั่งให้มีการลดการปิดการจราจรสำหรับบุคคลในสถาบันกษัตริย์เมื่อต้องเสด็จฯไปในที่ต่างๆ เรียกได้ว่าระยะห่างยิ่งแคบลงมามากในรัชกาลปัจจุบัน มิไยต้องพูดถึงการทรงบริจาคทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวนมากเพื่อความผาสุกของประชาชนที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก”
5. ปลดแอกกันเถิด-ปลดปล่อยตัวเองออกจาก “แอก” ที่ “อีแอบนักการเมือง-นักวิชาการ” พยายามสวมให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวาย แตกแยก เกลียดชังสถาบันสำคัญของบ้านเมือง ด้อยค่าประเทศชาติของตัวเอง เพียงเพราะพวกมันหวังผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนของพรรคพวก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี