ขณะนี้ ผู้ชุมนุมร้อยชื่อ (คือไม่รู้ว่าจะเรียกชื่อไหนแล้ว) ได้ยึดเอาร่างรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ เป็นสรณะสูงสุด ที่กำหนดเอาเองว่า “สภาต้องผ่าน” ร่างนี้ ถึงขั้นยกกองกำลังมาข่มขู่ คุกคาม ปิดล้อม นี่เป็น “ประชาธิปไตย” หรือ “อนาธิปไตย” เป็นการ “แลกเปลี่ยน-ปรึกษาหารือ” หรือเป็นเผด็จการ ออกคำสั่ง?
นายจอน อึ๊งภากรณ์ ในฐานะผู้ริเริ่มเสนอกฎหมาย ชี้แจงหลักผู้แทนภาคประชาชนที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมรัฐว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ของไอลอว์อย่างที่เรียกกันแต่เป็นของประชาชนที่ร่วมลงชื่อภายในเวลา 1 เดือนที่ได้รับรอง 98,824 ชื่อ สาเหตุที่ต้องแก้ไขเพราะรัฐธรรมนูญออกแบบให้คสช.มีอำนาจอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีการนำคสช.เป็นรัฐมนตรีหลายคน แม้รัฐธรรมนูญนี้เขียนไว้ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่เป็นเรื่องโกหกจึงเป็นโมฆะ เพราะประชาชนมีสิทธิเลือกแค่ผู้แทนราษฎร โดยไม่มีโอกาสตั้งรัฐบาล เนื่องจากมีองค์ประกอบอื่นไม่ได้มาจากประชาชนเข้ามาเป็นตัวกำหนด
นายจอน กล่าวอีกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่รอไม่ได้แล้ว เพราะต้องการเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย เราจึงตั้งโต๊ะให้ประชาชนมาลงชื่อ ซึ่งประชาชนกระตือรือร้นในการลงชื่อเป็นจำนวนมาก
“ผมหวังว่าสมาชิกรัฐสภาจะให้ความสำคัญกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชน ไม่ใช่ปฏิเสธตั้งแต่วาระแรก แต่ควรให้ข้อดีๆ ทั้งหลายเข้าไปร่วมพิจารณากับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมือง ที่สำคัญ ถ้าประเทศไทยจะพ้นวิกฤติและมีพัฒนาการใกล้เคียงกับอารยประเทศได้เราจะต้องพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด สมาชิกรัฐสภาทราบดีว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา จึงทำให้ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายจอน กล่าว
ด้าน นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ ในฐานะผู้แทนริเริ่มเสนอกฎหมาย กล่าวว่า การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของเรานั้นเรามีความฝัน 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.เราฝันว่าจะมีการปกครองที่ประชาชนเลือกนายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศได้ อย่างน้อยด้วยการเลือกทางอ้อมผ่านสมาชิกรัฐสภาที่มาจากประชาชน 2.เราฝันว่าจะได้อยู่ในประเทศที่รัฐบาลโปร่งใสและถูกตรวจสอบได้ โดยมีองค์กรเข้ามาตรวจสอบโดยตรง ซึ่งมีที่มาเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร 3.เราฝันว่าจะอยู่ในประเทศที่ประชาชนกำหนดอนาคตของตัวเอง ผู้สมัครเลือกตั้งต้องแถลงนโยบายว่าจะพาประเทศไปทางไหนและให้ประชาชนเลือก 4.เราฝันว่าจะอยู่ในประเทศที่กระบวนการยุติธรรมเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการยกเว้นความผิดให้กับใคร 5.เราฝันว่าจะอยู่ในกติกาสูงสุดที่รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานที่เขียนขึ้นโดยประชาชน โดยคนที่จะมาทำจะยึดโยงจากประชาชนทุกคนภายใต้บรรยากาศที่ปลอดภัย
“ความฝันเหล่านี้ของพวกเรายากเกินไปหรือไม่ครับ ข้อเสนอเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นฐานมาก ซึ่งประเทศไทยก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน เชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาต่างมีความฝันเหล่านี้เช่นกัน ไม่ใช่ข้อเรียกร้องสุดโต่ง รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นอุปสรรคขัดขวางของพวกเราจึงต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องดำเนินการโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)ที่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100% โดยสามารถหยิบทุกปัญหาในสังคมที่มีความขัดแย้งกัน โดยเฉพาะปัญหาที่อึดอัดจนต้องลงบนถนนมาพูดคุยกันในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้เราได้กติกาใหม่ที่อยู่ร่วมกันได้และเป็นกติกาที่ใช้กันยาวๆ
“เราเพียงเรียกร้องให้แก้ไขความผิดปกติของระบอบการเมืองปัจจุบันให้กลับเป็นระบบการเมืองที่ปกติธรรมดาเท่านั้นเอง หากรัฐสภาลงมติรับหลักการก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาประชาธิปไตยและทำให้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนถนนได้มีพื้นที่พูดคุยอย่างมีเหตุผล หากรัฐสภาไม่รับไว้พิจารณาในขั้นตอนต่อไป สมาชิกรัฐสภาจะต้องอธิบายต่อประชาชนนับแสนคนรวมทั้งประชาชนอีกหลายคนที่รอฟังคำอธิบายต่อไป” นายยิ่งชีพ กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยภาคประชาชนหรือไอลอว์ว่า ยังไม่ได้มีการตัดสินใจว่าจะลงมติอย่างไร เพราะต้องฟังเหตุผลของผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน โดยส่วนตัวมีประเด็นที่ต้องการให้ผู้เสนอชี้แจงต่อรัฐสภา 5 ประเด็น คือ
1. ร่างของไอลอว์ไม่มีบทบัญญัติห้ามแก้ไขหมวด 1 และ 2 ซึ่งต้องชี้แจงว่า มีเจตนาอย่างไร 2.การเสนอร่างของไอลอว์ที่เกี่ยวกับ ส.ส.ร. และแยกประเด็นไปถึง 10 ประเด็น จะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนกันหรือไม่ 3.เรื่องการดำเนินการยกเลิกการสรรหาองค์กรอิสระต่างๆ มองว่า ยังไม่ได้เสนอรูปแบบที่ดีกว่า แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่นำไปสู่การยกเลิกองค์กรอิสระ 4.มีข้อห่วงใยในข้อบังคับ ข้อ 124 มีบทบัญญัติชัดเจนว่า การแก้ไขเพิ่มเติมวาระที่ 2 ว่า หากรับหลักการมาแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขให้ขัดกับขั้นรับหลักการได้ ซึ่งผู้เสนอร่างต้องตอบให้ได้ถึงหลักการนี้ และ 5.ร่างของไอลอว์ มีบางส่วนเข้าเงื่อนไขมาตรา 256 วงเล็บ 8 ที่อาจจะมีความซ้ำซ้อนกันเรื่องการทำประชามติ
ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เคยโพสต์เฟซบุ๊ค ตั้งคำถามอย่างสุภาพและสุขุมว่า
“...ผมจะตั้งข้อสังเกตให้เห็นว่า หลักการในบางประเด็นเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยจะขอกล่าวถึงเฉพาะประเด็นที่ 6 - 7
ประการที่หนึ่ง - นิรโทษคดีทุจริต ?
หลักการประเด็นที่ 6 - 7 จะมีผลต่อกระบวนการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคดีทุจริตประพฤติมิชอบอื่นๆ แน่นอน เพราะการไปกำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่เป็นฐานกำหนดความผิดโดยตรงมีอันสิ้นผลไป หรือพูดง่ายๆ ว่ายกเลิกนั้นจะมีผลเสมือนเป็นการนิรโทษกรรมคดีทุจริตในทางปฏิบัติ ตามหลักกฎหมายอาญาที่ว่ากฎหมายมีผลย้อนหลังได้หากเป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด ตามที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับวางบรรทัดฐานไว้
ผู้ใดต้องโทษจำคุกตามพ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตอยู่ ก็จะยื่นคำร้องให้ศาลออกหมายปล่อยตัว
ผู้ใดอยู่ระหว่างการต่อสู้คดี ก็จะใช้เป็นข้อต่อสู้เพิ่มขึ้น
ส่วนผู้ที่หนีคดีอยู่ ก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักในการหาทางกลับบ้านได้เท่ ๆ เช่นกัน
ผลข้างเคียงที่เป็นเสมือนการนิรโทษคดีทุจริตต่อบุคคลที่ได้รับผลดีนี้จะคงอยู่ตลอดไป ต่อให้ในอนาคตมีการตราพ.ร.ป.กำหนดฐานความผิดเดิมขึ้นมาใหม่ ก็จะไปเข้าหลักกฎหมายอาญาทั่วไปอีกด้านหนึ่งที่ว่ากฎหมายที่ออกมาใหม่หากเป็นโทษกับบุคคลไม่สามารถใช้บังคับย้อนหลังได้
ประการที่สอง - ประเทศจะตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศไม่มีกฎหมายและกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างน้อย 5 - 6 เดือน !
หลักการประเด็นที่ 1, 6 และ 7 จะทำให้หากร่าง 7 นี้มีผลใช้บังคับเมื่อใด สว.ชุดปัจจุบันจะพ้นตำแหน่งทันที พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และพ.ร.ป.ฉบับอื่น ถูกบัญญัติให้เป็นอันสิ้นผลไป กรรมการป.ป.ช.และกรรมการองค์กรอิสระทุกองค์กรรวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันพ้นตำแหน่งทันที แม้จะให้อยู่รักษาการต่อไปก่อน แต่กฎหมายให้อำนาจสิ้นผลไปแล้ว ซึ่งกว่าจะได้สว. ชุดใหม่จากการเลือกตั้งต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 60 วัน ต่อด้วยเริ่มกระบวนสรรหากรรมการองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามแนวทางรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งต้องให้สว.ตัดสินใจเลือกในขั้นสุดท้าย ต้องบวกเวลาเข้าไปอย่างเร็วที่สุดอีก 30 วัน มิหนำซ้ำยังต้องยกร่างพ.ร.ป.ที่ถูกยกเลิกไปขึ้นมาใหม่ ก็ต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 90 วัน
คำว่า “ไม่ต่ำกว่า 90 วัน” นี้ผมหมายถึงระยะเวลาสั้นที่สุด อันที่จริงตัวร่าง 7 ไม่ได้กำหนดระยะเวลาขั้นต่ำและวิธีการจัดทำร่างพ.ร.ป.ใหม่ไว้เลย !
ทำไมต้องทิ้งให้บ้านเมืองตกอยู่ในสุญญากาศไร้กฎหมายและกลไกการปราบทุจริตถึงอย่างน้อย 5 - 6 เดือนเต็ม ?
พยายามอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาในส่วน“หลักการ” และ “เหตุผล” ของร่าง 7 และเอกสารแนบชุด “คำอธิบายรายมาตรา” ไม่พบข้อความใดที่อธิบายหลักคิดในการให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสิ้นผลไปทั้ง 7 ฉบับ เอาละ พอเข้าใจหลักคิดที่ว่า บุคคลองค์กรใดได้รับการสรรหามาในยุคคสช.ล้วนถือเป็นองคาพยพของคสช.ที่ต้องให้พ้นไป ก็ไม่น่าเกี่ยวกับตัวกฎหมาย หรือถ้าจะคิดเลยไปว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ยกร่างมาในยุคคสช.ก็ต้องให้สิ้นผลไปด้วย เอาละ ไม่ว่ากัน แต่ก็เกิดคำถามตามมา 2 คำถาม
คำถามที่หนึ่ง - ทำไมยกเลิกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเพียง 7 ฉบับ ไม่ยกเลิกให้หมดเลยทั้ง 10 ฉบับ เพราะก็ล้วนยกร่างขึ้นในยุคคสช.เหมือนกัน กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่คงเหลือไว้ 3 ฉบับมีอะไรแตกต่างเป็นพิเศษหรือ
คำถามที่สอง - ขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่าท่านผู้ยกร่างไม่คิดถึงผลกระทบที่จะต้องทำให้บ้านเมืองต้องอยู่ในสุญญากาศไร้กฎหมายเฉพาะสำหรับการปราบทุจริตครึ่งค่อนปีเลยหรือ ???
ไม่มีวิธีการแก้ไขที่ดีกว่านี้เลยหรือ ??
เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมาย “รื้อถอนอำนาจของคสช.” (ประโยคที่ใช้มากในหลักการและเหตุผลของร่าง 7) บ้านเมืองจะเสี่ยงต่อความเสียหายใหญ่หลวงอีกเท่าไรก็ต้องยอมอย่างนั้นหรือ ?”
ไอลอว์ต้องตอบคำถามเหล่านี้ และต้องเคารพว่า “สภา” เป็นที่ที่จะนำไปสู่การหาทางออกร่วมกัน โดยไม่ยึดว่าคำตอบของตนเป็น “คำตอบเดียว” ของประเทศชาติจึงควรบอกให้ผู้ชุมนุม ยุติการสร้างสถานการณ์ที่รบกวนการหาคำตอบร่วมกันนี้เสีย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี