ดังเป็นที่ตระหนักกันดีอยู่ว่า การยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ที่ผ่านมา จะเป็นเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย แต่ก็มักจะมีข้อจำกัดด้วยจุดประสงค์ของผู้มีอำนาจในช่วงนั้นๆ หรือไม่ก็เป็นไปตามกระแสของความรู้สึกนึกคิด ณ วันนั้น และในบริบทนั้น แต่อาจกล่าวได้ว่ามิได้มีการศึกษา ถกเถียง ร่วมคิดร่วมทำอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง เกี่ยวกับการมุ่งให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีสาระเนื้อหาที่ทำให้ราชอาณาจักรไทยเป็นประชาธิปไตยแบบสากล เมื่อการขีดเขียนยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญมักจะมีเป้าหมายเพื่อจะจำกัดจำเขี่ยการเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยเสถียรภาพทางการเมืองก็มิได้เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น และยังนำไปสู่การใช้อำนาจโดยมิชอบ และการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ ฉะนั้นก็ถึงเวลาแล้วจากปี พ.ศ. 2475 ที่ราชอาณาจักรไทยเราจะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยดังที่หลายๆ ประเทศที่เป็นราชอาณาจักร เขาได้ประสบความสำเร็จกันไปแล้วอย่างสง่างามและอย่างมั่นคง
ในการจะยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราพลเมืองไทยก็ต้องมาตกลงกันเสียก่อน ทั้งในเป้าหมาย หลักการ โครงสร้าง และเนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่จะวางรูปแบบ กลไก และการใช้อำนาจอธิปไตยของพวกเราปวงชนชาวไทย
ในการนี้ ผมใคร่ขอเสนอ “อารัมภบทกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่)” มาเพื่อเชิญชวนให้ทุกหมู่เหล่าได้ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อนำไปสู่ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับกันได้ดังนี้
เราชาวไทยมีความภูมิอกภูมิใจในความเป็นเอกราชและความยั่งยืนของความเป็นราชอาณาจักรไทย
ราชอาณาจักรไทยมีความเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงรูปโฉมและเนื้อหาไปตามยุคสมัย และความท้าทายต่างๆ ได้อย่างสง่างาม และมุ่งพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งไปอย่างไม่ลดละ
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงในราชอาณาจักรไทยอย่างสำคัญ คือการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญในกรอบของสังคมเสรีประชาธิปไตย
ในเดือนธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย เป็นการวางรากฐานเนื้อหาและโครงสร้างรูปแบบการเมืองการปกครองของราชอาณาจักรไทย ที่มุ่งการเป็นสังคมประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และปวงชนชาวไทยได้ทูลเกล้าฯถวายต่อองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นองค์ประมุข เพื่อทรงดูแล และกำกับการใช้อำนาจอธิปไตย โดยฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เพื่อความผาสุก สงบสุข และความเจริญก้าวหน้าของราชอาณาจักรและปวงชนชาวไทย ผู้ที่มาทำหน้าที่ต่างๆ ในฐานะตัวแทนในนาม และเพื่อปวงชนชาวไทย คือเป็นผู้อาสาสมัคร และเป็นผู้อุทิศตนต่อส่วนรวม และการใดที่กระทำก็ต้องชี้แจงรับการตรวจสอบได้ และรับผิดชอบต่อผลของการกระทำด้วยจิตสำนึก จริยธรรม และคุณธรรม
ราชอาณาจักรไทย จะคงอยู่ได้ด้วยความดีงาม ความเห็นแก่ส่วนรวม และด้วยความเอื้ออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ราชอาณาจักรไทย เป็นดินแดนแห่งศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันสูงส่ง ที่ธรรมเป็นกรอบและสิ่งปกป้องครอบคลุมวิถีชีวิต และฉะนั้นราชอาณาจักรไทยจึงเป็นสังคมประชาธิปไตยที่ธรรม หรือความถูกต้องชอบธรรมเป็นที่ยึดถือ เป็นหลักปฏิบัติของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งในการใช้สิทธิและหน้าที่ในการรับผิดชอบ และในการนี้ปวงชนชาวไทยจะพึงใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่โดยธรรมเป็นตัวกำกับ ซึ่งในการนี้ก็จะนำมาซึ่งความผาสุก ความสงบสุข และความเจริญก้าวหน้าของแต่ละปวงชนและของปวงชนโดยรวม
ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐหนึ่งเดียวที่แบ่งแยกมิได้ แต่มีการกระจายอำนาจเพื่อการมีส่วนร่วมในความเป็นไปของราชอาณาจักร ทั้งในการปรึกษาหารือ และร่วมตัดสินใจในเรื่องที่เป็นของส่วนรวม ซึ่งในการนี้การได้รับข้อมูลข่าวสาร และการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย มาตรการ กฎเกณฑ์ ระเบียบ เป็นสิ่งจำเป็น และจะต้องมีการดำเนินการอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง และการวางนโยบาย และกฎเกณฑ์ปฏิบัติจะต้องมีการชี้แจงภายใต้หลักความโปร่งใส การรับผิดชอบ และผลประโยชน์ต่อส่วนรวม หลักการกระจายอำนาจ หมายถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง พร้อมกับการจัดแบ่งงบประมาณและการเก็บภาษี และการจัดแบ่งภาระหน้าที่ระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น ไปจนถึงการออกกฎหมายต่างๆ เพื่ออำนวยให้องค์กรวิชาชีพ องค์กรผลประโยชน์เพื่อสังคม สามารถบริหารจัดการตนเองได้ โดยภาครัฐมีหน้าที่ควบคุมกติกา และความสมดุล ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ และระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบและการเลือกปฏิบัติใดๆ
ราชอาณาจักรไทย เป็นพื้นที่แห่งความหลากหลายทั้งชาติพันธุ์ ความเชื่อถือ ขนบธรรมเนียมประเพณี และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ปวงชนชาวไทย
ทุกหมู่เหล่าพึงตระหนัก ให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกัน และดำรงชีวิตที่ได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืนในบริบทของสิทธิและเสรีภาพ และภาระหน้าที่ต่อส่วนรวม
ในยามที่ราชอาณาจักรไทยอยู่ในภาวะวิกฤติ หรือคับขัน ก็จะมีการใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันเพื่อเอาแพ้เอาชนะ หรือเพื่อสร้างความเป็นใหญ่ให้กับบุคคลหนึ่งใดนั้นมิได้ จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารฝ่ายรัฐสภา และฝ่ายตุลาการ จะต้องพึงเข้าเฝ้าฯองค์พระมหากษัตริย์เพื่อขอพระราชทานคำปรึกษาหารือ และคำวินิจฉัย การณ์เป็นเช่นใดถือว่าเป็นข้อยุติอันเด็ดขาด
ก็ใคร่ขอเสนอมาครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี