๑. บทรำลึก อดีต : ย่างก้าวที่ผ่านมา จนมีวันนี้
lเมื่อวาน ๗๑ : วันนี้ ย่างก้าวเดินที่ ๗๒ ของชีวิต ที่ผ่านมาทุกสมรภูมิ และรอดมาได้ อย่างไม่น่าเชื่อมี “ใจ ที่สุข”
แม้กายจะลำบาก ทุกข์ยาก แสนเข็ญ จากเส้นทาง ที่เดินผ่านมา และผ่านไป
l๑.๑ นักเรียนอัสสัมชัญ ลำปาง รร.เตรียมอุดมศึกษา พญาไท และนิสิตวิศวะจุฬาฯ
การมาเรียนที่กรุงเทพฯ ต้องพึ่งตนเอง จึงเริ่มแข็งแกร่ง สู้เพื่อ การเรียนรู้ ของชีวิต เริ่ม จากกิจกรรมฯ งานหนัก ที่ใช้เวลาทั้งปี ทำงาน กิจกรรมของสโมสรนิสิตจุฬาฯ ปี ๒๕๑๔ ในฐานะนายก สจม.สิงสถิตใน ตึกจักรพงษ์ โดยแทบไม่ได้เรียน
ผลคือ เป็น รีพีทเตอร์ ครั้งที่ ๒ ของชีวิตนิสิตวิศวะจุฬาฯ
l๑.๒ “ข้าราชการของประชาชน” ข้อความในนามบัตร ที่พิมพ์ขึ้น เมื่อเริ่มรับราชการ ที่กทม.
เริ่มมีความเสี่ยงภัย เมื่อก้าวออกมาเป็นประชาชนคนหนึ่ง เพราะยังคงผูกพันกับประชาธิปไตย
ผลลัพธ์ทางการเมืองครั้งแรก คือ “ถูกจับขังคุกบางเขน ข้อหาหนักที่สุดในชีวิต” เพราะได้ร่วมก่อตั้ง “กลุ่มเรียกร้อง
รัฐรรมนูญ” (ในช่วงรัฐบาลเผด็จการ ไม่มีรัฐธรรมนูญ) ได้ร่วมทำงานหนัก และร่วมลงชื่อ “๑ ใน ๑๐๐ ผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ”
“มั่วสุมทางการเมืองเกิน ๕ คน
มีการกระทำอันเป็น “กบฏ” ล้มล้างรัฐบาลและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ (ยังไม่รู้จักเลย คอมมิวนิสต์ หน้าตาเป็นอย่างไร)”
สังคมไทย จึงรู้จัก “๑๓ กบฏ เรียกร้องรัฐธรรมนูญ” ๒๕๑๖ และพวกเราฯ สามารถหลุดออกมาจาก กรงขังของอำนาจเผด็จการได้ เพราะ พลังที่อิสระ บริสุทธิ์ ของนักศึกษาประชาชน ที่ปรารถนาเสรีภาพ ประชาธิปไตย
หลังจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ยุติลง : ประชาชนเริ่มจะเป็นใหญ่? ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ในยุค ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นเลขาธิการ นำนักศึกษาฯ ออกไปสู่ชนบท ทั่วประเทศ ประกาศการสร้างประชาธิปไตยทุกหย่อมหญ้า กลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ปช.ปช.) ที่พวกเราจัดตั้งขึ้นมาได้จัดขบวนทัพปราศรัย เรื่อง ประชาธิปไตย เพื่อลงไปสู่ประชาชน ทุกภาคของประเทศ
l๑.๓ จัดตั้งพรรคการเมืองของประชาชน เป็นพรรคแนวมวลชน หลังจากมีรัฐธรรมนูญใหม่ ๒๕๑๗
พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย : คำขวัญ ประชาชน ต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินส่งผู้สมัครลงไป ประมาณ ๘๐ คน ได้ เป็น สส. ๑๕ คน พสท. ๑๕ คน พลังใหม่ ๑๒ คน พรรคแนวร่วม สังคมนิยม ๑๐ คน สร้างผลสะเทือนทั่วไปมีคนของพรรคคอมมิวนิสต์ (ปีกซ้าย) ที่เข้ามาแทรกแซงในพรรคสังคมนิยมฯ โจมตีกว่าหาที่ พสท. จะไปเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทำที่พรรคฯ ไม่สำเร็จ ก็ไปกล่าวหา “ผู้นำพรรคฯ” ที่หน้าธรรมศาสตร์ และสนามหลวงฯ
การขาดศึกษาทำความเข้าใจการแก้วิกฤติของสังคมไทย และการขาดประสบการณ์ทางการเมือง ทั้งของพรรคมวลชน และ ผู้นำนักศึกษาประชาชนฝ่ายซ้ายฯที่ขาด หลักคิด แนวทาง ทฤษฎีทางการเมือง ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงของสังคมที่ใช้ “ความปรารถนาที่รักและจริงใจ ต้องการให้ภารกิจประชาธิปไตย ก้าวไปอย่างรวดเร็ว” ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ต่อเรื่องคุณภาพของประชาชน ที่กำลังก่อตัวขึ้นและการกลับมาของ“ฝ่ายอำนาจนิยมบางปีก” ที่ใช้การตีโต้กลับ ต่อพรรคและประชาชนใช้การลอบสังหาร ผู้นำพรรค ผู้นำกรรมกร ชาวนา และ นักศึกษาฯ นำเสนอ วาทกรรม “ตายสิบ เกิดแส” ให้รุกไปข้างหน้า ไม่ยอมแพ้ต่อการปราบปรามฯ
มีผู้นำพรรค นักศึกษา ประชาชนบางส่วน เสนอให้หยุดทบทวน สรุปบทเรียน หาทางแก้ไขฯแต่ “กระแสของ
ฝ่ายประชาชน ไปแรง ไปไกล ไม่อาจต้านทานได้” แม้ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาห้ามปรามไม่ให้มีการชุมนุมฯแต่ ผู้นำนักศึกษาปีกซ้าย ที่เป็นฝ่ายรุกสามารถเอาชนะ ปีก ที่ไม่ต้องการให้จัดชุมนุม และออกมากล่าวหา ดร.ป๋วย ว่า “รับใช้เผด็จการ” (เหมือนสมัยนี้เลย) ก่อนหน้านั้น ก็มีผู้นำนักศึกษา และพรรคการเมืองฯ ได้ทยอยเดินทางเข้าไปร่วมต่อสู้ในชนบท (เพราะมีทางออกเพียงทางเดียวในสมัยนั้น) แล้วเหตุการณ์ ล้อมปราบนักศึกษาประชาชนของปีกขวาจัด ก็เกิดขึ้นในวันที่ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ เป็นเรื่องที่ต้องถูกประณามอย่างรุนแรง และควรเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับฝ่ายปกครอง
l๑.๔ บทเรียนการเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ๒๕๑๙–๒๕๒๔ และการออกมาตรการ ๖๖/๒๓ ของรัฐบาลในยุคนั้น
การต่อสู้ของ พคท. แม้จะมีเจตนาและเป้าหมายที่ดี แต่แนวทางการต่อสู้ การเสนอให้โค่นล้ม ศักดินา (จักรพรรคนิยม
และทุนนิยมขุนนาง) ไม่สอดคล้องกับ ความคิดความรู้สึกของประชาชน และสภาพสังคมไทยที่เป็นจริงที่ก้าวผ่านมาถึงยุคทุนนิยมแล้วฯ และการใช้นโยบายของรัฐ ที่ประนีประนอมยอมอภัยโทษให้กับ ชาวพคท.และแนวร่วมฯกลับสู่เมือง
l๑.๕ บทเรียน เหตุการณ์ พฤษภา ๒๕๓๕ พธม. (๒๕๔๙-๕๑ ) กปปส. (๒๕๕๖-๒๕๕๗)
พลังของชนชั้นกลาง และชาวบ้าน แม้จะมีจำนวนหลักแสนหลักล้านทำได้เพียง การก่อพลัง ปลุกกระแสชาวบ้าน
ชาวเมืองมาร่วมฯแต่ไม่มีพลัง ในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
-การสรุปประเมินบทบาทที่เกินจริง : สร้างกระแสพลังประชาชนยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นเรื่องที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะ ความจริง “พลังของประชาชน มีจำกัด ” และถูกแบ่งแยกเป็นหลากหลายฝ่าย
-การสรุปอย่างเป็นจริงอย่างถูกต้อง ทำให้เรา ต้อง คิดใหม่ให้รอบด้าน อย่างเป็นจริง
ใครคือ ประชาชน และผลประโยชน์ที่แท้จริง จะตกถึงมือประชาชนได้อย่างไร?
l๑.๖ การเปลี่ยนใหญ่ที่หวังเข้ายึดอำนาจรัฐ มาเป็นของตน โดยไม่สนใจ ความถูกต้องเป็นธรรม
พฤติกรรมของฝ่ายค้าน ที่ใช้ทุกวิธีการ ถูกและผิด ทั้ง “การเข้าสู่รัฐบาล และช่วงเป็นฝ่ายค้าน” มีแต่ทำให้เกิดความเสียหายอนันต์ ต่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติและการสร้าง “ค่านิยมและพฤติกรรมที่ผิด “ต่อ” นักการเมือง นักวิชาการ นักศึกษาฯ และสื่อ”
เริ่มจากการเข้าสู่รัฐบาลเสียงข้างมาก พรรคเดียวของ “ทักษิณ-พรรคไทยรักไทย” ปี ๒๕๔๔ ทั้งการซื้อเสียง ซื้อ พรรค
สส. สว. นักวิชาการ สื่อ การจัดตั้งมวลชน และการปลุกระดมในทางที่ผิด ทำให้ประชาชนแตกแยก เป็นฝักฝ่าย เกิดความ
ขัดแย้งกัน (เพื่อหวังแบ่งแยกแล้วปกครอง)
เมื่อเป็นนายกฯ ก็ คอร์รัปชั่น โกงกิน ใช้อำนาจรัฐ แทรกแซงกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และจาบจ้างฯเมื่อทำผิดมหันต์ ศาลพิพากษาว่า มีความผิด ต้องติดคุกฯ ก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ สั่งการทำลายรัฐบาล
เมื่อเป็นฝ่ายค้าน ก็ไม่ยอมรับกติกา ใช้มวลชนเข้าทำลายการประชุมอาเซียน+๖ ที่พัทยา ปี ๒๕๕๒ จัดตั้งมวลชน
เสื้อแดง มาปิดล้อมกรุงเทพฯ ใช้อาวุธ ทำลายสถานที่ต่างๆและประชาชน ปี ๒๕๕๓
ปี ๒๕๖๓ การก่อกระแส “กล่าวหาโจมตีรัฐบาลและอาจเอื้อม ล่วงละเมิด พระราชอำนาจของในหลวง อีกทั้งยังร่วมมือกับ พรรคใหม่ สื่อ นักวิชาการ และองค์กรต่างประเทศ ใช้เด็กเป็นเครื่องมือฯ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงสรุปหนึ่ง โดยสรุปย่อ พอให้เห็นภาพของสถานการณ์ที่ผ่านมาในสังคมไทย
โดยจะขอนำเสนอต่อไป เพื่อให้คนไทยที่มีอุดมคติ รักและปรารถนาดีต่อบ้านเมืองได้ช่วยกันคิด ถึง “ทางออกของประเทศ จากวิกฤติใหญ่ ไปสู่ ประชาธิปไตย เพื่อคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน”
ตามต่อตอนต่อไปในสัปดาห์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี