ต่อภัสสร์: เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องตื่นเต้นเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในวงการต่อต้านคอร์รัปชันครับ นั่นคือการที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ หรือ Transparency International (TI) ได้ประกาศมาตรวัดการคอร์รัปชันโลก หรือ Global Corruption Barometer ออกมา ที่ผมบอกว่าตื่นเต้นมากก็เพราะเหตุผล 3 ประการครับ
ประการแรก คือ มาตรวัดนี้แตกต่างจากมาตรวัดอื่นๆ ตรงที่ไปวัดจากประสบการณ์ตรงของประชาชน นักธุรกิจ ข้าราชการในแต่ละประเทศเลย โดยไม่ได้ถามความเห็นมุมมอง ภาพลักษณ์ เหมือนดัชนีอื่นๆ แต่ถามตรงๆ ว่า คุณเคยจ่ายสินบนไหม ต่อด้วยคำถามว่าแล้วคุณคิดว่ารัฐบาลของประเทศคุณจัดการกับปัญหานี้เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้น ผลจากดัชนีนี้จึงจะให้มุมมองต่อทั้งระดับการคอร์รัปชัน และ การต่อต้านคอร์รัปชันได้อย่างดี
ประการที่สอง คือ ดัชนีนี้ไม่ได้ประกาศผลกันบ่อยๆ นะครับ เนื่องจากที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าผู้จัดทำดัชนีนี้ต้องไปสอบถามประสบการณ์ตรงของคนจำนวนมากในแต่ละประเทศ จึงต้องใช้เวลาและแรงงานคนจำนวนมาก ทำให้ต้องเวียนประกาศผลเป็นภูมิภาคไป และจะกลับมาประเมินในแต่ละภูมิภาคทุกๆ 3 ปี ซึ่งผลครั้งล่าสุดของประเทศไทยคือเมื่อปี พ.ศ.2560
ประการที่สาม คือ ผลของดัชนี Global Corruption Barometer ครั้งที่ผ่านมาของประเทศไทยนั้น บังเอิญว่าดีมากไงครับ เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อ 3 ปีก่อน คนไทยกว่า 72% มีความเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลในการต่อต้านคอร์รัปชันสูง ตัวเลขนี้ทำให้ประเทศไทยอยู่อันดับ 1 ของเอเชียเลยนะครับ สร้างความหวังให้กับทุกคนที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชันเป็นอย่างมากในวันนั้น ผ่านมา 3 ปี ผมจึงอยากรู้เหลือเกินว่า ดัชนีที่เป็นสากล ไม่มีการแทรกแซงทางการเมืองนี้ จะประกาศผลออกมาเช่นไร
ต่อตระกูล: เกริ่นนำมาขนาดนี้ ตื่นเต้นตามเลย อยากรู้ว่าผลล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง เพราะจากมุมมองของตัวเอง ใน 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ต่างก็ช่วยกันผลักดันโครงการต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆ ออกมามากมาย รวมถึงโครงการที่เป็นนวัตกรรม ACT ai ที่รวบรวมข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดมาเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบซึ่งลูกช่วยพัฒนาอยู่ด้วยใช่ไหม
ต่อภัสสร์: ใช่เลยครับ ในแง่ของคนที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน เรารู้สึกว่ามีความพยายามผลักดันโครงการรูปแบบใหม่ๆ ออกมามากมาย แต่ก็อาจจะต้องบริหารความคาดหวังไว้บ้างนะครับ เพราะความแปลกใหม่ของโครงการเหล่านี้ ทำให้ผลกระทบยังไม่เกิดมาก ประชาชนก็ยังไม่รับรู้ หรือ อีกแง่หนึ่ง หากประสบความสำเร็จแล้ว การเปิดข้อมูลมากๆ ในช่วงแรกๆ ก็อาจจะทำให้ข้อมูลการโกงที่เคยถูกซุกซ่อนไว้ ถูกเปิดออกมา ทำให้ดูเหมือนว่ากรณีการคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นก็ได้
เอาล่ะครับ งั้นเรามาดูผล Global CorruptionBarometer ล่าสุด ไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ คำถามแรกคือ คุณคิดว่าคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นหรือไม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประเทศไทยขึ้นแท่นอันดับ 2 ในเอเชียเลยที่เดียวครับ กว่า 55% ของคนไทยคิดว่าคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น น้อยกว่าแค่ประเทศเนปาล ที่ตัวเลขอยู่ที่ 58% ซึ่งพอถามลึกลงไปว่าคอร์รัปชันทางการเมืองเป็นปัญหาหรือไม่ ปรากฏว่าคนไทยกว่า 88% เห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่ ตัวเลขนี้ทำให้เราพอจะเห็นจุดกลางของปัญหามากพอสมควรเลยนะครับ
ทีนี้มาถึงคำถามที่เรารอคอย ที่รอบที่แล้วเราเคยเป็นอันดับ 1 คนมีความเชื่อมั่นในการทำงานต่อต้านคอร์รัปชันของรัฐบาลสูงมาก ในปีนี้ตัวเลขกลับตาลปัตร จากหัวเป็นหางเลยทีเดียวครับ กลายเป็นคนไทย 73% มองว่ารัฐบาลทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีเลย ตกจากที่ 1 มาที่รองโหล่เลยทีเดียว เห็นผลแบบนี้แล้วน่าตกใจมากเลยนะครับ
ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในการทำงานต่อต้านคอร์รัปชันของคนไทย ไม่ได้เป็นปัญหาเพียงกับรัฐบาลเท่านี้นะครับ ผลจากคำถามต่อๆ มายังชี้ให้เห็นว่าคนไทยขาดความเชื่อมั่นต่อตำรวจและระบบยุติธรรมด้วย 59% บอกว่าไม่มีความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ และ 40% ไม่เชื่อมั่นระบบยุติธรรม
ที่ผลเป็นแบบนี้ อาจจะมาจากการที่คนกว่า 37% คิดว่าตำรวจส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการทุจริต ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้อีก 47% ยอมรับว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เคยจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่อันตรายมาก
ผู้พัฒนาดัชนี Global Corruption Barometer จึงมีบทสรุปข้อแนะนำในการต่อต้านคอร์รัปชันสำหรับประเทศไทยในครั้งนี้ว่า ปัญหาสำคัญที่สุดที่ต้องจัดการก่อน คือการสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน เพราะอาวุธสำคัญที่สุดของการต่อต้านคอร์รัปชันก็คือประชาชน หากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมที่ทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนแล้ว ไม่ว่าจะมีกฎหมายรุนแรงเพียงไหน เครื่องมือที่ดีมากเพียงใด ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเป็นผลแน่นอน
ต่อตระกูล: เห็นผลล่าสุดออกมาแบบนี้แล้วก็เป็นกังวลเหมือนกันนะ แต่ก็เห็นด้วยว่าที่ผ่านมา มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนก็ยังดีที่เรายังมีองค์กรภาคประชาชนอย่าง องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ที่ยังผนึกกำลังภาคเอกชนและประชาชนได้เหนียวแน่น และสร้างเครื่องมือใหม่ๆ มาติดอาวุธให้ประชาชนอยู่ตลอดเวลา หวังว่าต่อไปหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะภาครัฐจะหันมาให้ความสนใจกับความร่วมมือกับประชาชนมากขึ้น
เลยนำมาสู่โอกาสหนึ่งของหน่วยงานรัฐที่จะสร้างความมีส่วนร่วมของประชาชนจำนวนมากได้ นั่นคือวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล วันที่ 9 ธันวาคมนี้ ที่ ป.ป.ช. จะจัดงานใหญ่ ให้เครือข่ายเข้าร่วมงานได้แบบออนไลน์ ทาง Zoom และประชาชนทั่วไป เข้าชมผ่านทาง facebook live: https://www.facebook.com/NACCThailandOfficialFanpage ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
ในงานนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้กล่าวเปิดงาน ก่อนที่จะให้ พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และสถานการณ์การทุจริต ตามด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา ในหัวข้อ “ต้านโกง” โดย พระมหาสมปอง ตาลปุตโต
ที่แปลกออกไปคือปีนี้ เปลี่ยนผู้มาปาฐกถาจากนักวิชาการหรือนักต่อต้านคอร์รัปชัน มาเป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การเปลี่ยนแนวทางแบบนี้ จะสามารถดึงความเชื่อมั่นและศรัทธาจากประชาชนจำนวนมาก ให้หันมาสนับสนุนงานและโครงการต่างๆ เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันได้หรือไม่ พ่อเองก็จะคอยติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปด้วย จึงขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านมาร่วมติดตามการทำงานและให้กำลังใจหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆ ของไทยในปีหน้าให้สามารถกู้คืนศรัทธาและความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับมาให้ได้โดยเร็วนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี