ในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีข่าวใหญ่ที่กลบข่าวอื่นๆบนหน้าสื่อไทยทั้งหมด ก็คือ การตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ติดเชื้อที่เป็นคนไทยได้สารภาพว่าลักลอบเข้าประเทศไทยมาทางช่องทางธรรมชาติ หลังจากแอบออกไปทำงานในเขตชายแดน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีสถานเริงรมย์เปิดทำการอยู่โดยไม่มีมาตรการป้องกันโควิด-19อย่างเคร่งครัด (ทั้งๆ ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในเมียนมาอยู่ในขั้นไม่สู้ดี)
เมื่อเข้ามาแล้วก็ต่อเครื่องบินเข้ามายังกรุงเทพฯ และพอมีอาการป่วยก็ไปรับการตรวจคลินิก และได้รับคำแนะนำให้ไปยังโรงพยาบาลโดยด่วน ก่อนจะถูกตรวจพบว่ามีเชื้อโควิด-19 โดยประเด็นที่สร้างความโกลาหลขนาดใหญ่ให้แก่สังคมไทยก็คือ ช่วงก่อนที่ผู้ป่วยจะบินกลับมากรุงเทพฯผู้ป่วยและกลุ่มเพื่อนได้มีการเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แถมแสดงให้เห็นว่า มีขบวนการลักลอบคนเข้า-ออกชายแดนไทย-เมียนมา ทางพรมแดนธรรมชาติ (ไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง) ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ให้โควิด-19 สามารถกลับมาแพร่เชื้อในประเทศไทยได้อีกหนถึงเมืองหลวง และจังหวัดต่างๆ ที่มีผู้ลักลอบเข้าเมืองเดินทางไป กลายเป็นเรื่องอกสั่นขวัญแขวนให้กับคนไทยทั้งประเทศ คอยนั่งลุ้นกันว่าจะต้องถึงขั้นปิดเมืองปิดประเทศ เศรษฐกิจล่มจมกันอีกหนหรือไม่
ปัญหาที่เกิดก็เพราะความไร้ความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ที่เป็นพาหะเหล่านี้ คิดเอาแต่ได้ เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนไม่แยแสว่าผลของการกระทำนั้นจะสร้างภาระ สร้างความเสียหายให้แก่สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยอย่างไรก็ไม่แคร์คิดแต่จะเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว จนไม่คิดถึงผลกระทบต่อการดำรงชีพ การทำมาหากินของชาวบ้าน คนเหล่านี้เมื่อได้รับการรักษาตัวจนหายป่วยแล้ว สมควรต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นโทษปรับ จองจำ ก็ควรได้ดำเนินการกันไปตามกฎหมายโทษขั้นสูงสุด และไม่ควรได้รับการภาคทัณฑ์อย่างเด็ดขาด นอกจากนั้น ยังควรให้มีการบังคับให้ทำงานเพื่อสังคม เพื่อเป็นการชดใช้ ชดเชย ค่าใช้จ่ายที่รัฐ(โดยภาษีราษฎรส่วนรวม) ต้องสูญเสียไปกับบุคคลผู้ก่อเหตุเหล่านี้อีกด้วย
ส่วนในอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องมองมาที่กระบวนการป้องกันตามเส้นทางชายแดนของบรรดาเจ้าหน้าที่ ก็พอเข้าใจได้อยู่ว่าพรมแดนไทย-เมียนมานั้นยาวมาก ยากแก่การดูแลให้ทั่วถึง แต่ในเรื่องโควิด-19 นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นรายวันจนกลายเป็นเรื่องชินหูชินตา บรรดาผู้รับผิดชอบน้อยใหญ่สูงต่ำ ทำงานแบบรับลูกไปวันๆ หนึ่ง เอาแต่กล่าวโทษเส้นทางธรรมชาติ ดั่งยอมรับว่า หมดแรง หมดฝีมือ และหมดปัญญาที่จะแก้ไข นอกจากเพิ่มชุดลาดตระเวนไปอย่างที่เคยๆ แต่ไม่ยักมีหน่วยงานไหนทำงานเชิงรุก เข้าสืบสวน สอบสวน จับกุมที่ต้นตอ นั่นคือบรรดาขบวนการรับจ้างขนคนข้ามแดนที่ประกาศโฆษณาบริการกันดาษดื่นตามโซเชียลเนตเวิร์กต่างๆ ขนาดสื่อมวลชนยังหาทางติดต่อแก๊งเหล่านี้ได้ สามารถเอามาเสนอเป็นข่าวได้ แล้วเจ้าหน้าที่รัฐมัวทำอะไรกันอยู่
ในวันนี้ ช่องทางธรรมชาติไทย-เมียนมา คือจุดอ่อน และจุดอันตรายของการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าไทย แต่ฝ่ายรัฐดันขาดการคิดอ่านเชิงยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี เอาแต่แก้ปัญหากันที่ปลายเหตุเป็นกรณีๆ ไป ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายตำรวจชายแดน และฝ่ายกองทัพภาคที่ 3 และฝ่ายมหาดไทยจะยกธงขาวยอมแพ้ปัญหาช่องทางธรรมชาติ แล้วปล่อยให้โควิด-19 ทะลักเข้าประเทศไม่ได้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพึงพอใจกับคำอธิบายว่า ช่องทางธรรมชาติเป็นสาเหตุปัญหาแล้วก็จบๆ ไปก็ไม่ได้เช่นกัน
ไหนๆ ก็อุตสาห์ร่วมมือกับประชาชน แก้ไขปัญหาโควิด-19 ในประเทศมาได้ขนาดนี้ ครั้งนี้ก็เลยอยากขอเสนอให้
1) จัดวางกำลังให้รัดกุมตลอดแนวชายแดน
2) ปิดช่องทางธรรมชาติ (จะกี่ช่องทาง ฝ่ายทางการน่าจะรู้ ในเมื่อชาวบ้านเขารู้กันอยู่)
3) ประสานฝ่ายเมียนมา ทั้งรัฐบาลกลางและท้องถิ่นในการ
3.1 ร่วมลาดตระเวน
3.2 การสำรวจทางอากาศเป็นระยะๆ
3.3 รวบรวมรายชื่อสถานเริงรมย์ที่คนไทยเข้าไปทำงาน ทั้งแบบถูก และไม่ถูกกฎหมายในเมียนมา
3.4 รวบรวมรายชื่อจำนวนพนักงานไทยที่ตกค้างในเขตเมียนมา
3.5 ช่วยเหลือเมียนมาเรื่องการบริหารจัดการ วิธีการทิ้งระยะห่าง และการป้องกัน
โดยการสวมหน้ากาก เรื่องความสะอาด ในสถานเริงรมย์และสถานที่สาธารณะต่างๆ เป็นต้น
4) จัดหน่วยตอบโต้เชิงรุก ในโลกออนไลน์ เพื่อหาข่าว แทรกซึม และกวาดล้างแก๊งขนคนข้ามพรมแดนธรรมชาติ รวมทั้งลงโทษสถานหนัก ให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม
นอกจากนั้น รัฐบาลไทยก็ควรหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ในการร่วมมือกันช่วยเหลือเมียนมาในเรื่องการสาธารณสุขที่เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 เพราะจากที่เห็นในวันนี้เมียนมายังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ตัวเลขการแพร่ระบาดยังคงพุ่งทะยานสวนทางกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
ไทยและอาเซียน จะต้องทำการป้องกันตัวเองด้วยการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเมียนมา ในขณะที่ไทยเองเป็นประเทศด่านหน้า ย่อมมีโอกาสได้รับความเสียหาย และผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อโควิด-19 คือปัญหาร้ายแรงเกินกว่าระดับประเทศ ไทยก็ยิ่งต้องทุ่มเทดำเนินการสนับสนุนเมียนมาทั้งความช่วยเหลือทางด้านบุคลากร และอุปกรณ์ โดยมีรัฐบาลกลาง คือตัวนายกรัฐมนตรีเองลงมารับผิดชอบ และดำเนินการ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ว่ากันคนละที พอไปไม่ไหวก็ค่อยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงสาธารณสุขมาว่ากันอีกที
ในวันนี้ ไม่มีปัญหาอะไรที่จะท้าทายฝีมือของคณะรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปมากกว่าการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากประเทศเมียนมาเพราะว่าหากโควิด-19 กลับมาระบาดหนักในไทยอีกครั้งจนต้องปิดประเทศอีกหน เศรษฐกิจเราคงทรุดไปกว่าวันนี้ และรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ก็คงไม่น่าจะอยู่รอดได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี