ในขณะที่ตอนนี้หลายฝ่ายอาจกำลังกังวลว่าภาคเหนือโควิดจะกลับมาระบาดอีกรอบหรือไม่จากกรณีคนไทยที่เดินทางไปยังประเทศพม่าและเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย พบเชื้อโควิด รัฐบาลและกระทรวงต่างๆ กำลังเร่งเข้าไปตรวจสอบและปิดช่องว่างโดยเร็วที่สุดเพราะตอนนี้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอาจต้องสะดุดได้ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจต่าง ๆ ในจังหวัด เชียงใหม่ กับ เชียงราย ซึ่งเป็นสองจังหวัดที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้โดยตรง และเพื่อไม่ให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังจะกลับมาดีขึ้นตามลำดับต้องเกิดสะดุดลง รวมถึงแผนการเตรียมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในปีหน้าหลังจากที่วัคซีนเริ่มสามารถทยอยผลิตออกมาได้ต้องสะดุดลงไปอีกเช่นกัน เช่นเดียวกับ กรณีน้ำท่วมในภาคใต้ตอนนี้
ขณะที่รัฐบาล หรือ สส.บางกลุ่มกำลังลงไปช่วยสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมที่ทางภาคใต้ที่ตอนนี้กำลังส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรังพัทลุง และสงขลา รวมทั้งสิ้น 51 อำเภอ และมีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 290,997 ครัวเรือน ก็ยังมีกลุ่มการเมืองของนายธนาธรลงไปพื้นที่ภาคใต้เช่นกัน แต่ลงไปเพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียงการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่
ในช่วงก่อนหน้านี้ มีประเด็นที่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเกี่ยวเนื่องของกลุ่มการเมืองกับการชุมนุม และต่อประเด็นข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม ว่ามีความเกี่ยวพันหรือไม่กับการเมืองฝ่ายใด อย่างไรก็ตามก็มีผู้พบเห็นนายธนาธร หรือแกนนำคณะก้าวหน้า ในเวทีชุมนุมหลายครั้ง ซึ่งไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร แต่ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ระยะหลังพุ่งเป้าไปที่ประเด็นสถาบันมากขึ้นนั้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลและตั้งคำถามว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
แต่ล่าสุดยังมีประเด็นที่เพิ่งถูกเปิดเผยจากกรณีข่าวที่เกี่ยวข้องกับน้องชายประธานคณะก้าวหน้าปรากฏออกมา ว่ามีประเด็นข้อสงสัยต่อกรณีการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ กรณีที่ขอเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯหรือไม่? ซึ่งนอกจากมีกรณีเจ้าหน้าที่ปลอมเอกสารจนศาลตัดสินว่ามีความผิดแล้ว ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยต่อกรณีที่มีการพูดถึงเงินกว่า 20 ล้านบาทที่ไม่เกี่ยวกับค่าที่ดิน ซึ่งเป็นเงินของผู้ขอเช่าที่จ่ายไปแต่ไม่เกี่ยวกับค่าเช่า? แล้วเงินส่วนนี้คือเงินอะไร จ่ายไปเพื่ออะไร?
โดยกรณีการเจรจาขอเช่าที่ดิน ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารสำนักงานทรัพย์สินฯนี้น่าจะเป็นช่วง มีนาคม – พฤศจิกายน พ.ศ.2560
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้ตรวจสอบพบ จึงนำไปสู่การดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องและนำไปสู่การเปิดเผยข้อเท็จจริงในเวลาต่อมา
และเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 ศาลก็ได้พิพากษาสั่งจำคุก นายประสิทธิ์ และนายสุรกิจ จำเลยที่ 1 – 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกับคนกลางคอยประสานงาน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายฝ่ายกำลังตั้งคำถามตอนนี้คือ ประเด็นเงิน 20 ล้าน มีความเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่ และการกระทำจ่ายเงินเช่นนี้เป็นการกระทำที่สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายหรือ?
ทั้งนี้พบว่ามีช่วงเวลาหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ ที่อาจเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันก็ได้
ในขณะที่นายธนาธร ประกาศลงสู่สนามการเมืองและได้ทำการเปิดตัวพรรคการเมืองอย่างอนาคตใหม่ ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านตั้งแต่ช่วงเปิดตัวพรรคเรื่อยมาจนถึงช่วงการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ก็มีหลายฝ่ายมองว่าการกระทำหลายอย่างของนายธนาธร และกลุ่ม มีความต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศที่อาจมากกว่าแค่เปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่ และในระยะหลังเริ่มมีการพูดถึงการปฏิรูปสถาบัน?
ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องในทางธุรกิจของนายธนาธรต่อครอบครัวเป็นอย่างไร?
ความคิดของนายธนาธร ต่อสถาบันฯ ในอดีตจนถึงปัจจุบันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปลายปี 2562 เป็นอย่างไร?
ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องของนายธนาธรต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอย่างไร?
ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ที่เริ่มมีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชน นั้นมีหลายคนตั้งคำถามว่าเป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มผู้ชุมนุมต้องการอะไร และต้นแบบทางความคิดของกลุ่มผู้ชุมนุมรับมาจากใครบ้าง และเหตุใดจึงเริ่มมีการเปลี่ยนประเด็นจากการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เป็นการพูดถึงเรื่องสถาบันฯ และมากขึ้นเรื่อยๆ
ย้อนไป กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการนัดชุมนุมกันในวันที่ 10 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ภายใต้ชื่อ #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน ซึ่งเป็นวันแรกที่ทำเอาประชาชนคนไทยทั้งประเทศต่างพากันตกใจกับพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุม เนื่องจากในวันดังกล่าวมีการพูดถึงข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ต้องการจะปฏิรูปสถาบัน แต่ถ้อยคำที่ใช้นั้นอาจมากกว่าต้องการปฏิรูปหรือไม่?
หลังจากนั้นก็เริ่มมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย และแม้ต่อมาจะมีการพูดเรื่องทำนองนี้อีกหลายครั้งบนเวที แต่คนพูดล้วนเป็นเยาวชนทั้งหมด ซึ่งอาจขาดความเข้าใจที่ดีพอในเรื่องนี้ จึงเป็นจุดอื่นให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งแต่ต่อมาก็มีความบังเอิญว่า นายธนาธรก็ได้ไปพูดในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง และได้พูดไปในทำนองที่ว่า เรามีความจำเป็นต้องพูดถึงสถาบันกษัตริย์ และถ้าเราปล่อยให้คนที่ออกมาพูดความจริงกับสังคมในเรื่องนี้ ยืนอยู่โดดเดี่ยว และไม่มีใครออกไปช่วยรับลูก ผู้พูดจะถูกจัดการ เขาจะถูกยัดเยียดคดีให้ไปอยู่ในห้องขัง! การที่นายธนาธรพูดเช่นนี้ต้องการเรียกร้องอะไร และต้องการจะทำอะไรต่อไป ?
และต่อมาไม่นานหลังจากที่มีการพูดเรื่องปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ กลุ่มผู้ชุมนุมก็เริ่มมีการเจาะลึกประเด็นไปสู่สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ นั่นคือการขยายความจากการปฏิรูปสถาบันมาสู่ประเด็น ที่อาจเป็นประเด็นที่กลุ่มนักคิดที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มผู้ชุมนุมต้องการจริงๆ นั่นก็คือการออกมาพูดเรื่องทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยอ้างเหตุผล เพื่อทวงคืนทรัพย์สินที่ควรเป็นของประชาชน จนนำไปสู่การนัดไปชุมนุมกันที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ก่อนจะเปลี่ยนไปนัดชุมนุมกันที่หน้าสำนักงานใหญ่ SCB
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ก็มีแกนนำเผลอหลุดพูดออกมาว่า การพูดบนเวทีในเรื่องปฏิรูปสถาบันครั้งแรกนั้นมีคนส่งโพยมาให้ตนพูด จึงเป็นสิ่งที่น่าสงสัยว่าการพูดครั้งต่อๆ มาในเรื่องสถาบันจะมีคนส่งโพยให้แกนนำพูดเหมือนครั้งแรกหรือไม่? เพราะที่ผ่านมาแกนนำอาจมีความเข้าใจผิดต่อเรื่องทรัพย์พระมหากษัตริย์ และข้อมูลที่เยาวชนเหล่านี้ได้รับนั้นเอามาจากที่ใด?
อย่างกรณีที่อยากให้มีการแบ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์ และ ทรัพย์สินที่ใช้ในสถาบัน และส่วนที่ใช้ในการทำโครงการ ให้ชัดเจนเพื่อจะได้ตรวจสอบได้ ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะมีการแบ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ตาม พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561
หรือในกรณี ในหลวงถือครองหุ้น SCB จำนวน 25% โดยใช้งบส่วนตัวมากเกินความจำเป็นหรือไม่? ประเด็นนี้อาจเข้าใจผิด เพราะหุ้นของ SCB ไม่ใช้เป็นงบส่วนตัวในพระองค์ แต่เป็นทรัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท SCB ซึ่งเมื่อบริษัทเติบโตขึ้นสัดส่วนของหุ้นส่วนก็ย่อมโตขึ้น อีกทั้งพระมหากษัตริย์เองไม่สามารถนำหุ้นหรือกำไรจากหุ้นดังกล่าว ไปใช้สอยเป็นการส่วนพระองค์
เมื่อไม่นานมานี้ มีประชาชนตั้งคำถามกับนายธนาธรในช่วงที่นายธนาธรลงไปช่วยทีมหาเสียงการเมืองท้องถิ่น ถึงความรักสถาบันฯของนายธนาธร นายธนาธรปฏิเสธที่จะตอบตามที่ปรากฎในคลิป ก็คงเป็นสิทธิของทุกคนที่จะตอบหรือไม่ตอบ หากแต่การที่นายธนาธรอาสามาลงการเมืองเพื่อพัฒนาประเทศชาติ ส่งเสริมความเท่าเทียม และปฏิรูปสิ่งต่างๆ ตามที่บอกไว้นั้น ถ้าหากกล้าตอบคำถามเรื่องคนในครอบครัวต่อเรื่องเงิน 20 ล้าน กรณีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวนายธนาธร
ได้มากขึ้น
“ธรรมดาเกิดมาเป็นมนุษย์ อันโรคแลความตายนั้นจะกำหนดวันมิได้”
จิวยี่ สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี