เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขึ้นมาทันทีเมื่อกลุ่มเยาวชนปลดแอก (FREE YOUTH) หนึ่งในเจ้าภาพจัดการชุมนุมประท้วงของกลุ่มราษฎร เปิดหัวข้อรณรงค์ “Restart Thailand” เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2563 แล้วมีผู้สังเกตว่า ตัวอักษร “R” และ “T” ถูกออกแบบให้มีหน้าตาเหมือน “ค้อน-เคียว” สัญลักษณ์ของแนวคิดแบบ“สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์” ที่เคยเป็นกระแสไปทั่วโลกในยุคสมัยหนึ่ง โดยค้อนหมายถึงแรงงานในเมือง (กรรมกร) ส่วนเคียวหมายถึงแรงงานในชนบท (เกษตรกร) ลุกขึ้นสู้กับนายทุนและศักดินาผู้เอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน
การเปิดหัวข้อรณรงค์ครั้งนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่เฉพาะคู่กรณีของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ออกอาการไม่พอใจพร้อมกับเปรยว่า “มันเกินไปแล้ว จะดำเนินการอย่างไร ก็ขอให้จัดการตามกฎหมาย” และ “เดี๋ยวเสื้อแดง เดี๋ยวค้อนเคียว จะเกินไปหรือเปล่า” เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้ที่ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ และสนับสนุนการชุมนุมประท้วง บางรายก็กังวลถึงความเหมาะสมในการนำสัญลักษณ์นี้มาใช้เช่นกัน
เพราะแม้ยุคสมัยแห่งความรุนแรงจากผู้สุดโต่งทั้งซ้ายจัด (พวกที่เชื่อมั่นในสังคมใหม่ตามแนวคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์) และขวาจัด (พวกที่เห็นอะไรก็หวาดระแวงไปหมดว่าเกี่ยวข้องกับแนวคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ เช่น การเรียกร้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานหรือคนยากจน) จะจบสิ้นลงไปหลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 2534 และจีนปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจสู่ทุนนิยมในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึงไทยก็ยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 ไปในปี 2543 แต่คนที่อยู่ทันยุคสมัยนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตาม หากถามว่า “อะไรทำให้แนวคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์” ก็ต้องย้อนกลับไปในยุคที่ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) บิดาแห่งแนวคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ ได้เขียนหนังสือที่เป็น “คัมภีร์นักปฏิวัติเพื่อสังคมไร้ชนชั้น” ไว้ 2 เล่มคือ The CommunistManifesto ในปี 2391 และ Das Kapital ในปี 2410 ในเวลานั้นบริบทสังคมของทวีปยุโรปที่มาร์กซ์อาศัยอยู่เข้าสู่ยุคทุนนิยมเต็มตัวแล้ว
โดยด้านหนึ่งนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ถึงขั้นชาวยุโรปมีเทคโนโลยีเหนือกว่าดินแดนส่วนอื่นๆ ของโลก จนสามารถออกล่าอาณานิคม กดขี่บังคับมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นๆ ให้อยู่ภายใต้การปกครองของตนได้ แต่อีกด้านหนึ่ง ชาวยุโรปที่เป็นชนชั้นล่างมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก เพราะกิจการบริษัทห้างร้านในยุคนั้นยังไม่มีการพูดถึงสิทธิแรงงาน ทั้งค่าจ้างขั้นต่ำ วันหยุด ความปลอดภัยในการทำงาน ข้อจำกัด เรื่องการใช้แรงงานหญิงและเด็ก ฯลฯ เมื่อสังคมเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้ว จึงไม่แปลกที่ผู้ตนระดับรากหญ้าทั้งในและนอกทวีปยุโรปจะ “ซื้อความคิด” ของมาร์กซ์
ซึ่งประเทศที่ทุนนิยมหรือชนชั้นนำเดิมปรับตัวได้ทันรับเอาแนวคิดบางอย่างของสังคมนิยมไปใช้ เช่น ส่งเสริมสิทธิต่างๆ ของแรงงาน รวมถึงอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงานเพื่อเป็นช่องทางให้นายจ้างกับลูกจ้างได้เจรจาต่อรองหาทางออกร่วมกันแบบประนีประนอมเมื่อเกิดข้อพิพาทส่งผลให้ความอึดอัดคับข้องใจของคนในสังคมลดลง ก็จะไม่นำไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม เหมือนกับในบางประเทศที่ไม่ปรับตัวหรือปรับตัวไม่ทัน
กลับมาที่ประเทศไทยยุคปัจจุบัน ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเขียนบทความ “ผ่าทางตันการเมืองไทย : ต้องผ่า 3 รากเหง้าเสียก่อน” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563โดยตอนหนึ่งระบุว่า “ประเทศไทยนั้นมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมานานแล้ว แต่ในห้วงเวลาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ได้มีหน่วยงานต่างประเทศที่ประเมินไทยมีความเหลื่อมล้ำรุนแรงที่สุดในโลก อยู่ใน 3 ลำดับแรกของโลก มีการประกาศทั่วโลกต่อเนื่องมาหลายปี
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์บอกปัดผลการประเมินดังกล่าวมาตลอด ทั้งที่มีนิตยสารด้านธุรกิจระดับสากลที่จัดอันดับเศรษฐีโลกทุกปี พบว่าอภิมหาเศรษฐีของไทยในช่วงเวลาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีความร่ำรวยมากขึ้นทุกปี ในขณะที่การกระจายรายได้ประชาชาติที่ลงไปยังระดับล่างน้อยมาก สาเหตุที่ความเหลื่อมล้ำรุนแรงมากขึ้น สืบเนื่องจากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เป็นรัฐบาลแรกที่เชื้อเชิญอภิมหาเศรษฐีของไทยให้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนนโยบายอย่างเปิดเผย
พลเอกประยุทธ์คงจะลืมไปว่า อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ร่ำรวยและกุมธุรกิจหลักในประเทศมาช้านานแล้ว และถ้าหากเขามีแรงบันดาลใจที่จะช่วยให้มีการกระจายความมั่งคั่งให้กว้างขวางจริง ป่านนี้ไทยก็คงจะไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำเหลืออยู่มากแล้ว แต่แทนที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะเน้นการทะลุทะลวงอำนาจการผูกขาดกลับดำเนินนโยบายต่างๆ นานา ที่เอื้ออำนวยให้อภิมหานายทุนสามารถขยายอาณาจักร เพิ่มความเหลื่อมล้ำ และบัดนี้ วิกฤติโควิด-19 ได้ทำให้ปัญหานี้กลับจะรุนแรงหนักมากขึ้น”
อนึ่ง วันที่ 5 มี.ค. 2563 ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่รายงาน “จับชีพจรความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย” ซึ่งระบุว่า “อัตราความยากจนอย่างเป็นทางการของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นในปี 2559 และอีกครั้งในปี 2561 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราความยากจนอย่างเป็นทางการที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่สี่และครั้งที่ห้านับแต่ปี 2541 โดยก่อนหน้านี้ อัตราความยากจนของประเทศไทยเคยเพิ่มขึ้นมาแล้วสามครั้งในปี 2541, 2543 และ 2551 ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับวิกฤตการณ์ทางการเงิน” ซึ่งท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูว่าสอดคล้องกับความเห็นของอดีต รมว.คลัง หรือไม่
ยังไม่ต้องนับเสียงเรียกร้องของแรงงาน 2 กลุ่ม ที่เคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือกลุ่มแรงงานนอกระบบ (เช่น แผงลอย มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนรับงานไปทำที่บ้าน ฯลฯ) ไปร้องเรียนที่กระทรวงแรงงาน หวังให้รัฐบาลบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเป็นกลุ่มที่เดือดร้อนหนักเป็นพิเศษ กับกลุ่มแรงงานแพลตฟอร์ม (ขี่มอเตอร์ไซค์รับ-ส่งสินค้าโดยรับงานผ่านแอพพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ) ที่ไปชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยดำเนินการให้บริษัทต้นสังกัดปรับปรุงสภาพการจ้างงานให้เป็นธรรม
หากมองในอีกแง่หนึ่ง “ค้อน-เคียว” อาจเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ดี ให้ผู้มีอำนาจต้องเร่งลดความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจัง เพื่อลดอุณหภูมิความอึดอัดคับข้องใจ และสร้างสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งคนกลุ่มต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่ให้ลุกลามกลายเป็นยุคสมัยแห่งความรุนแรงอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี