หากจะว่าไปแล้ว คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยดูเสมือนจะไม่คุ้นเคยกับการใช้สันติวิธีในการเจรจา และในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันมากนัก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อมาโดยตลอดว่าต้องใช้ความรุนแรง ความเด็ดขาดจัดการกับปัญหา เพราะเชื่อว่าเมื่อจัดการกับผู้ก่อปัญหาได้แล้ว ทุกอย่างจะจบลง แนวคิดหรือวิธีคิดเช่นนี้มีอยู่ในทั้งผู้มีอำนาจรัฐและผู้ที่ต้องการโค่นล้มผู้มีอำนาจรัฐ รวมถึงผู้ที่ต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยด้วย
แต่ในความจริงนั้น การจัดการปัญหาโดยใช้ความรุนแรงอาจไม่ให้ผลดีกับผู้ใช้ความรุนแรงเสมอไป แม้หลายครั้งจะดูเสมือนว่าปัญหาในขณะนั้นๆ ถูกกำจัดไปได้ แต่ทว่ารากเหง้าของปัญหากลับมิได้ถูกขุดรากถอนโคนขึ้นมาให้หมดดังนั้นในอนาคตเหง้าของปัญหาก็จึงแตกหน่อ แตกกิ่ง แตกใบออกมาอีก แล้วปัญหาที่ผู้ใช้ความรุนแรงกำจัดก็จะกลับกลายมาเกิดเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม หรือของตนเองได้อีก
บ้านเมืองไทยของเราเคยเกิดปัญหาวิกฤติการเมืองมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ปัญหาหลายเรื่องดูเหมือนถูกทำให้แค่นิ่งและเงียบลงไป โดยไม่มีการขุดรากถอนโคน ไม่มีการทำความจริงของวิกฤติให้ปรากฏ แต่แล้ววันหนึ่งปัญหาสารพัดสารพันที่เคยเกิดขึ้นก็กลับมาเกิดขึ้นอีก
หลายบริเวณที่เป็นจุดสำคัญในทางธุรกิจในเขตกรุงเทพฯ เคยถูกปิดเพราะผู้ชุมนุมทางการเมืองมาแล้ว แล้วในยุคนี้เหตุการณ์ปิดล็อกพื้นที่ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ ก็ยังคงเกิดขึ้นอีกด้วยน้ำมือของผู้ชุมนุมทางการเมือง จึงมีคำถามว่า เหตุใดเมื่อเกิดการชุมนุมประท้วงทางการเมืองจึงต้องสร้างปัญหาให้กับประชาชนด้วยการปิดล็อกพื้นที่ในจุดสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ คนที่เป็นผู้ชุมนุมหรือผู้จัดการชุมนุมไม่คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นบ้างหรือ
คงไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างได้ว่าไม่มีผู้เดือดร้อนจากการชุมนุมทางการเมืองซึ่งมีการยึดพื้นที่และปิดถนนเส้นสำคัญในกรุงเทพฯ แต่แม้ทุกฝ่ายจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังคงทำให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนเสมอมา แล้วต่างฝ่ายก็อ้างความชอบธรรมของตน โดยไม่นำพากับความเดือดร้อนของผู้อื่น
เป็นที่น่าสังเกตว่า การชุมนุมประท้วงทางการเมืองของไทยนั้น มักจะยกวาทกรรมการเมืองเรื่องชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง ขึ้นมาอ้างตลอดเวลา ทั้งๆ ที่สาธารณชนพบเห็นเป็นประจำว่ามีความรุนแรงสารพัดชนิดแฝงเร้นอยู่ในการชุมนุมประท้วง เช่น ความรุนแรงด้านวาจา และความรุนแรงด้านกายภาพ รวมถึงพบว่ามีอาวุธสงครามในกลุ่มผู้ชุมนุมอีกด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นในสังคมไทย จึงไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเป็นการชุมนุมที่สงบ สันติ ปราศจากความรุนแรงทุกชนิด
ดังนั้นจึงมีคำถามย้ำๆ ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ชุมนุมทางการเมืองด้วยความสงบ สันติ ปราศจากอาวุธแท้จริงหรือหรือว่าเป็นได้แค่คำพูดเท่านั้น
หลายครั้งมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุมทางการเมืองบอกว่ารัฐบาลต้องใช้ความเด็ดขาดจัดการกับผู้ชุมนุมที่ก่อเหตุไม่สงบ เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดความรุนแรงอื่นๆ ตามมา แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากบอกว่าไม่ควรใช้ และต้องไม่ใช้ความรุนแรงใดๆเพื่อกวาดล้างผู้ชุมนุม เพราะการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา จะยิ่งเท่ากับราดน้ำมันลงบนกองไฟ แต่ก็มีเสียงคัดค้าน และมีคำถามกลับว่า แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ผู้ชุมนุมปิดถนน ก่อความไม่สงบให้กับบ้านเมือง ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจรัฐโดยชอบธรรมทำให้บ้านเมืองสงบและเป็นปกติสุขได้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจะลุกขึ้นมาจัดการกับผู้ก่อเหตุไม่สงบด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าสังคมไทยยุคนี้มีความยับยั้งช่างใจมากกว่ายุคเก่าๆ มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายคนบอกว่าแม้จะไม่พอใจที่มีการปิดถนน ยึดพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ โดยผู้ชุมนุม แต่ก็ต้องอดทน และพยายามทำใจให้เย็นมากพอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวิกฤติที่อาจจะเกิดตามมา และหลายฝ่ายก็บอกว่าไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองเกิดเหตุมิคสัญญีกลียุค เลือดท่วมท้องช้างและไม่อยากเห็นคนไทยต้องฆ่าต้องฟันกันเองให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19
คำว่าไม่ต้องการให้สังคมไทยเกิดเหตุการณ์เหมือน6 ตุลาฯ 19 เป็นคำที่มีนัยอย่างลึกซึ้ง เป็นคำที่ทำให้หลายคนพยายามตั้งสติ และบอกให้ตัวเองมีสติตลอดเวลา เพราะไม่ต้องการเห็นคนไทยที่ออกไปชุมนุมทางการเมืองต้องล้มตาย เพราะน้ำมือของคนไทยด้วยกันเองอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้น ก็มีผู้มองว่า แม้คนอื่นๆ ในสังคมไทยพยายามจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบ 6 ตุลาฯ อีก แต่ทว่าผู้ก่อการชุมนุมบางกลุ่ม รวมถึงผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมดูเสมือนว่าต้องการให้สังคมไทยเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ให้จงได้ จึงพยายามโหมไฟสุมฟืนทางการเมืองเพื่อหวังให้ไฟลุกกระพือมากขึ้นเป็นลำดับ
คำถามตามมาอีกข้อหนึ่งคือ ผู้ชุมนุมประท้วงกับผู้มีอำนาจรัฐ เข้าใจคำว่าการชุมนุมประท้วงโดยสงบ สันติ ไม่ใช่ความรุนแรงตรงกันหรือไม่ เพราะเราจะเห็นว่าทั้งสองฝ่ายมักอ้างเรื่องความสงบ สันติ ไม่ใช้ความรุนแรงทุกชนิดตลอดเวลาแต่ก็พบได้เป็นประจำว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นเสมอๆ ดังนั้นปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่ว่าคนสองกลุ่มเข้าใจคำว่าชุมนุมโดยสงบ สันติ ตรงกันหรือไม่
น่าสังเกตว่าผู้ชุมนุมพยายามป่าวประกาศเป็นประจำว่าหากข้อเรียกร้องของตนเองไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้มีอำนาจรัฐ กลุ่มผู้ชุมนุมจะยกระดับ เพิ่มความรุนแรงในการชุมนุมให้มากขึ้น ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า การข่มขู่ว่าจะเพิ่มระดับความรุนแรงคือการจงใจใช้ความรุนแรงในการชุมนุม ใช่หรือไม่ อย่าลืมว่าการชุมนุมประท้วงโดยสันติวิธีต้องไม่ใช้การข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงใดๆ ด้วย
หากผู้ชุมนุมประท้วงกับผู้มีอำนาจรัฐยังมองและเข้าใจคำว่าสันติวิธีไม่ตรงกัน ก็นับว่าเป็นเรื่องป่วยการที่จะตะโกนร้องว่าตนเองชุมนุมประท้วงด้วยความสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรง มีคำถามว่าการชุมนุมประท้วงด้วยการนำสีสารพัดชนิดไปฉีดพ่นทาหรือขว้างปาสีใส่บุคคลอื่น หรือสถานที่ต่างๆ เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรงหรือไม่แล้วก็มีคำถามด้วยว่าการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังไม่ได้ก่อเหตุความรุนแรง คือการกระทำโดยสันติ ปราศจากความรุนแรง ใช่หรือไม่
น่าขบขันที่หลายครั้งเราจะได้ยินว่าผู้ชุมนุมประท้วงกล่าวอ้างว่าใช้การชุมนุมแบบอหิงสา แต่แม้จะอ้างว่าอหิงสาแต่ก็มีเสียงตะโกนด่าประณามฝ่ายตรงข้ามของตนตลอดเวลา ก็จึงทำให้คนที่รู้หลักอสิงหาจริงๆ บอกว่า นี่ไม่ใช่การประท้วงแบบอหิงสา เพราะหากอหิงสาจริงแท้แล้ว จะไม่ใช้วิธีการดังกล่าวอย่างเด็ดขาด เพราะผู้ยึดมั่นในอหิงสาจะไม่มีความรู้สึกเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม และไม่มองว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูที่ต้องเข้าไปเข่นฆ่าทำลายล้าง
คนที่ยึดมั่นในอหิงสาจริงๆ จะไม่เน้นการทำลายล้างตัวบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงข้าม แต่อหิงสาเน้นเพียงการทำลายความชั่วและความอยุติธรรมเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า คนที่อ้างอหิงสาในการชุมนุมในบ้านเรานั้น เข้าใจหลักการอหิงสาจริงแท้หรือ
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังคงเน้นย้ำว่า การที่สังคมไทยทุกวันนี้ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองของเราเกิดเหตุมิคสัญญีเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ จึงทำให้คนจำนวนมากอดกลั้นและอดทน แล้วทนยอมให้ “ม็อบสามนิ้ว” ก่อการสร้างความวุ่นวายบนพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ ได้ต่อไป
แต่ผู้เขียนก็ไม่ค่อยมั่นใจว่า สุดท้ายแล้วความอดทนของคนไทยที่ไม่นิยมชมชอบพฤติกรรมหยาบช้าต่างๆ นานาของ “ม็อบสามนิ้ว” จะมีอีกยาวนานแค่ไหน
แต่ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองไทยเกิดเหตุมิคสัญญีกลียุคเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า “ม็อบสามนิ้ว” จะต้องการลากให้บ้านเมืองของเราเกิดเหตุเหมือน 6 ตุลาฯ 19หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี