นำเสนอไป ๒ ตอน
๑.บทรำลึก อดีต : ย่างก้าวที่ผ่านมา จนมีวันนี้
๒.ความคิด & การปฏิบัติ ที่ได้ทำไป ทั้งในอดีต & ปัจจุบัน ยังอยู่ในถ้ำอวิชชาแห่งความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง
วันนี้ นำเสนอ ตอน ๓
๓.กรอบความคิดในการเข้าสู่อำนาจรัฐ ตั้งแต่ ๒๔๗๕ มาถึงวันนี้ที่เป็นกระแสหลักในสังคมปัจจุบัน
l ขอกล่าวโดยสรุป กรอบความคิดในการเข้าสู่อำนาจรัฐ ที่ผ่านมาในอดีต ก่อนที่จะมาถึงวันนี้
เราพอจะแยกแยะ แบบกว้างๆ ได้ดังนี้
๑.การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ โดย คณะราษฎร
เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา(Parliamentary System) ในเรื่องนี้ มีนักคิด นักประวัติศาสตร์ นักการเมืองฯ มีทัศนะมุมมองแตกต่างกันไปคนละเรื่องและมักจะกล่าวอ้างว่า “ความคิดของตนและพวกถูกต้อง) แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ผิดฯ”เราจะไม่ขอลงลึกไปในรายละเอียด : แต่ละฝ่าย จะมีทั้งถูกและผิด นำเสนอเฉพาะส่วนฯ เพราะต่างฝ่าย มักจะมี อุดมคติ หรืออคติ อวิชชาฯ ไปตามมุมมองของตนและพวก
(การประเมินสถานะของการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่
(๑) จุดยืนและทัศนคติในทางการเมืองของผู้ประเมิน
(๒) ข้อเท็จจริง ที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง อย่างรอบด้าน และการมองอย่างเป็นองค์รวมยังไม่มีการสรุปบทเรียนร่วมกันของผู้นำฝ่ายต่างๆ : ให้เป็นที่ยอมรับร่วมกัน
(๓) สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งๆ (จะมีส่วนกำหนด ความคิดของผู้นำฯ)
(๔) ผลประโยชน์ที่ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้จริงๆ
โดยสรุป : เป็นการใช้อำนาจกองทัพ และผู้นำที่มีความคิดอภิวัฒน์ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ “ประชาธิปไตย” ยังคงอยู่บนหอคอยงาช้าง ในหมู่พวกคณะราษฎรสายต่างๆ และชนชั้นบนของสังคม มิได้ลงหลักปักฐาน ถึงแก่นความคิด โครงสร้างการเมืองการปกครอง รวมถึงวัฒนธรรมและจิตสำนึกของผู้นำทางการเมืองและประชาชนของประเทศ
๒.แนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ
(๑ ธันวาคม ๒๔๘๕ และ ๗ สิงหา ๒๕๐๘)
พรรคชนชั้นกรรมาชีพนำ มีทฤษฎีแนวทาง (เข้าสู่อำนาจรัฐ) มีกองกำลังอาวุธ และมีแนวร่วมฯ ซึ่งไม่สำเร็จและล้มฯ ไปในที่สุด โดย
-ผู้นำพรรค มีความขัดแย้ง และมีความเห็นต่างกัน
-นักศึกษา พรรคการเมือง และประชาชนฯ ที่เข้าไปร่วม หลัง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ มีความคิดขัดแย้งกับผู้นำ พคท.
-ประชาชน เริ่มไม่สนับสนุน และไม่ยอมรับฯ
-ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ประเทศจีน) ลดการสนับสนุน หนุนช่วยฯ
-รัฐบาลมีนโยบาย ๖๖/๒๓ ทำให้พรรคการเมือง แนวร่วมนักศึกษา ประชาชน ทยอย แยกจาก พคท. และออกมาสู่เมือง
เหตุสำคัญประการหนึ่ง เพราะมีปัญหาทางทฤษฎี แนวทางฯ ที่ไปยึดแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และสหภาพโซเวียตฯมาใช้ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย ขาดนักคิด นักทฤษฎี ที่จะคิดแนวทางออกของสังคมไทย ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงฯ
รวมทั้งแนวคิดของ อดีตผู้นำนักศึกษาฯ หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่เห็นด้วย กับแนวคิดและแนวทาง“การใช้ความรุนแรงที่ปฏิวัติ ไปเปลี่ยนแปลงสังคม” เพราะสังคมถูกปกครองและบริหารด้วยกลไก ความรุนแรงที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ“โดยผู้ปกครองหรือบริหารประเทศ ใช้กลไกดังกล่าว เอาเปรียบ และกระทำต่อประชาชน ด้วยการสร้างอำนาจ ความร่ำรวยฯ ให้กับพวกของตนและชนส่วนน้อยชั้นบนของสังคม” เสริมสร้าง ซ้ำเติมสังคมที่เหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม ให้หนักหน่วงและรุนแรงขึ้นอันเป็นเหตุแห่งความยากจนของประชาชน โดยได้นำเสนอว่า “การเลือกตั้งทั่วไป เป็นกลไกหรือเครื่องมือของชนชั้นนายทุนฯเข้าไปสู่อำนาจรัฐ” ฝ่ายประชาชน ร่วมปฏิเสธ เพราะ “ประชาชนไม่สามารถเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม ที่ชนชั้นปกครองและนายทุนกุมอำนาจกลไกรัฐ ที่ได้เปรียบประชาชน”
๓.การรัฐประหาร รัฐบาลเลือกตั้ง โดยกองทัพ และหรือ มีประชาชนฝ่ายหนึ่งให้การสนับสนุน หรือมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงของประชาชนกับรัฐบาลที่มีประชาชนอีกฝ่ายสนับสนุน
นักคิดหลากหลายฝ่าย ให้ข้อสรุปไปตาม ความคิด อัตตา อคติ อุดมคติ ของตนและพวกพ้อง
(๑) แนวทางนี้ มิใช่ทางออกของสังคมที่นำไปสู่ ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ “ล้มรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมฯ ได้ แต่ก็บริหารและนำพาประเทศไปต่อไม่ได้”
(๒) ประเทศมหาอำนาจฯ ไม่ให้การยอมรับ และมีการโต้ตอบ คัดค้านรัฐบาลในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ต่างประเทศฯ
(๓) การรัฐประหารฯ ทำให้ “กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย หยุดชะงัก ถอยหลัง เดินต่อไปไม่ได้” ควรจะต้องยอมให้ “รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำงานต่อ” (แม้ไม่ชอบธรรมก็ตาม) และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดบทลงโทษเอง
(๔) กองทัพ ไม่มีผู้นำฯ ที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยได้ เพราะ “ทหาร ไม่มีความคิดประชาธิปไตย”
(๕) บางส่วนมองว่า แม้ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่บางกรณี เป็นความจำเป็นเพราะรัฐบาลที่มิชอบธรรม โกงกิน ขัดรัฐธรรมนูญ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมฯ ไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย ยังดื้อดึง บริหารประเทศต่อจะก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน
และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารฯ ต้องรีบ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ควรมีการปฏิรูปการเมืองและการเลือกตั้ง ก่อนมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ต้องรีบ “คืนอำนาจให้กับประชาชน” โดยเร็ว
๔.การเลือกตั้งทั่วไป : แนวทางเสรีนิยม ที่ทั่วโลกยอมรับ? แต่เริ่มมีปัญหาวิกฤติ !
แนวทางนี้ เป็นแนวทางหลักของสังคมมายาวนาน มีทั้งการได้รับการยอมรับ และปฏิเสธในแต่ละช่วงของสังคมที่ผ่านมาบางยุคมีการพัฒนาไปในทางบวก ดูพอจะเป็นความหวังฯ
ในช่วงแรกๆ และตอนถัดมาฯ
แต่ในยุคหลังๆ โดยเฉพาะในยุคของระบอบทุนสามานย์ทัก มีการพัฒนาไปในทางลบมากขึ้น มีความสามานย์สูงขึ้น และมีความทวีความรุนแรง ก้าวร้าว จาบจ้วงมากขึ้น ในยุคพรรคอนาคตใหม่ ผ่านการสร้างกระแส “ความคิด” ในหมู่ประชาชน และลงมาสู่เยาวชน รวมทั้งเป้าหมายของพวกตน โดย การทุ่มทุนมหาศาล ในการพัฒนา “สื่อออนไลน์ที่ทันสมัย” และการจัดการแบบมืออาชีพฯ
มาวิเคราะห์ว่า “ทำไมแนวทางเลือกตั้งทั่วไป แบบเสรีนิยม” จึงเป็นกระแสหลักในสังคมไทย
๑.แนวคิดนี้ ยังคงเป็นกระแสหลักของสากล แม้จะมีข้ออ่อน ข้อบกพร่อง แต่ยังไม่มีกระแสอื่นที่มีพลัง
๒.มีการสนับสนุนจาก ประเทศมหาอำนาจ องค์กรโลก องค์กรสิทธิต่างๆ และการคัดค้าน ตอบโต้แนวคิดกระแสอื่นๆ ทั้งแนวทางของประเทศจีน หรือการทำรัฐประหารโดยกองทัพ
๓.พรรคการเมือง ทุน ข้าราชการที่มีผลประโยชน์“๓ อักษะแห่งความชั่วร้าย” ที่มีกลไกต่างๆ อย่างพร้อมเพรียง ทั้ง“ทุน อำนาจ สื่อ นักวิชาการ มวลชนฯ” เป็น “กลุ่มก๊วน” ที่ได้ผลประโยชน์มหาศาล จากระบบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม
๔.เป็นแนวทางที่ดูเหมือนหลายฝ่ายยอมรับ และเข้ามาร่วมฯ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะการผลัดเปลี่ยนกัน(ผลประโยชน์) มาเป็นรัฐบาล ที่มีทั้งบวกและลบ
๕.ประชาชนยังคงได้ประโยชน์บ้าง มากบ้างน้อยบ้างยังพอทน รับได้
๖.ยังไม่มีแนวทางอื่นๆ ที่มีพลัง ศักยภาพมากพอ ที่ถูกคิดและนำเสนอต่อสังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี