จวบจนบัดนี้ สหภาพยุโรปได้มีวิวัฒนาการมาโดยตลอดโดยเริ่มต้นจากประชาคมถ่านหินและเหล็ก กลายเป็นตลาดร่วมยุโรป เป็นประชาคมเศรษฐกิจยุโรป แล้วก็มีการตั้งสกุลเงินกลาง เรียกว่า “ยูโร” มีธนาคารกลางยุโรปและศาลยุติธรรมยุโรป และรัฐสภายุโรปในขณะเดียวกันมีการขยายประเทศสมาชิกจาก 6 เป็น9 เป็น 12 เป็น 15 จนในที่สุดเป็น 28 ณ วันนี้ได้ลดเหลือ 27 เพราะอังกฤษลาออกไป
ที่ผ่านมา ความเป็นปึกแผ่นและความเจริญก้าวหน้าของสหภาพยุโรปเกิดขึ้นได้ เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย การบริหารจัดการแบบธรรมาภิบาล และการอยู่ร่วมกันด้วยหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง
การรวมตัวและความสำเร็จของสหภาพยุโรปได้กลายเป็นที่กล่าวขวัญ เป็นที่ชื่นชม และเป็นแบบอย่างของการรวมตัวกันในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาคทั่วโลกสะท้อนว่าการอยู่ร่วมกันและร่วมมือกันหลายๆ ประเทศในพื้นแผ่นดินเดียวกันหรือติดต่อกันนั้น อำนวยประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ส่วนรวม เช่น ตลาดใหญ่ขึ้นการทำมาค้าขาย การหมุนเวียนของเงินทุน ผู้คนองค์ความรู้ และเทคโนโลยีนั้น ไร้พรมแดนระหว่างกันและในขณะเดียวกันก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ
และที่สำคัญที่สุดก็คือ การรวมตัวนี้เป็นเสมือนโครงการสันติภาพ (Peace Project) กล่าวคือ ประเทศในยุโรปที่ต่างรบราฆ่าฟันกันมาหลายร้อยปี เป็นทั้งผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 จนนำมาซึ่งความหายนะอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตผู้คน ทรัพย์สิน ทรัพยากรธรรมชาติทั้งโลก ซึ่งบัดนี้สหภาพยุโรปได้พิสูจน์ว่า โครงการสันติภาพนั้นประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือไม่มีสงครามระหว่างกันอีกต่อไป เพราะการขัดแย้ง การเห็นต่างใดๆ ก็ปล่อยให้ไปว่ากันที่โต๊ะเจรจา เป็นสันติวิธี หรือไม่ก็ให้ศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด อีกทั้งการร่วมมือกันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะการร่วมมือที่เกิดจากการสละ ลดทอนอธิปไตยของแต่ละประเทศสมาชิกไปให้กับส่วนกลางไปรับผิดชอบแทน
แต่มาบัดนี้ สหภาพยุโรปดูจะติดสันดอนเสียแล้ว เมื่อมีประเทศสมาชิก 2 ประเทศ คือ โปแลนด์ และฮังการี เริ่มแตกแถว โดยทั้ง 2 ประเทศ ต่างได้ผู้นำที่มีนโยบายและมาตรการบริหารประเทศไปในทิศทางอำนาจนิยม คือเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม คุกคาม ข่มขู่ สื่อและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและผู้เห็นต่างโดยทั่วไป
เท่ากับว่าทั้งสองประเทศนั้นไม่เล่นตามกฎการบริหารราชการแบบธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นอุดมการณ์เสรีนิยมและกติกากลางของสหภาพยุโรป การเจรจาของสหภาพยุโรปจึงเกิดขึ้นเพื่อที่จะตีกรอบให้โปแลนด์ และฮังการีเดินกลับมาเข้าแถว โดยมีการตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าไม่แก้ไขให้ถูกต้อง งบกลางช่วยเหลือเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจยุคโรคระบาดโควิด-19 ก็จะไม่มีตามมา ทางฝ่ายโปแลนด์ และฮังการี ก็เลยต้องทำการโวยวาย ยกแม่น้ำทั้ง 5มาอ้างว่า พวกตนไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้มีอะไรซุกไว้ในกอไผ่ทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากค่านิยมว่าด้วยประชาธิปไตยว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ และว่าด้วยชีวิตที่ต้องปราศจากการข่มขู่ คุกคาม ถือเป็นหัวใจหลักของสหภาพยุโรป ดังนั้นสมาชิกส่วนใหญ่จึงปล่อยให้โปแลนด์และฮังการี ลอยตัว ลอยนวลไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ก็เลยต้องตั้งโต๊ะเจรจาบีบคั้น หรือไม่ก็ต้องไปว่ากันที่ศาลยุติธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่โลกกำลังติดตามกันอยู่ต่อไป แต่คาดว่าสมาชิกส่วนใหญ่จะไม่โอนอ่อนต่อพฤติกรรมเผด็จการนิยม มิฉะนั้นความศักดิ์สิทธิ์ ความน่าเชื่อถือ และความเป็นปึกแผ่นของสหภาพยุโรปก็จะสั่นคลอนไปด้วย ก็หวังว่าจิตสำนึก เหตุผล และผลคงจะกลับมาสู่ผู้นำโปแลนด์และฮังการี เพราะจะคิดแค่เรื่องของตนเองไม่ได้ ต้องคิดถึงส่วนรวมด้วย
ย้อนกลับมาที่บ้านเราคือ ประชาคมอาเซียน ซึ่งไม่ได้เคยมีเงื่อนไขที่ว่า แต่ละประเทศสมาชิกต้องเป็นประชาธิปไตย จะมีเพียงก็แค่การแสดงออกถึงความปรารถนาที่จะได้เห็นความเป็นประชาธิปไตย และการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในหมู่สมาชิก ซึ่งก็เป็นเพียงความปรารถนาที่ยังหาการปฏิบัติที่เป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ประชาคมอาเซียนก็เลยยังไม่เคยได้มีส่วนร่วม
ในความเป็นไปของอาเซียน โดยชีวิตประชาชนส่วนใหญ่ในแต่ละประเทศของตน ก็ยังถูกครอบงำด้วยอำนาจนิยมเป็นส่วนใหญ่
ก็คงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบรรดาผู้นำว่าจะเอาอย่างไร รวมทั้งขึ้นอยู่กับพวกหัวก้าวหน้าและเสรีนิยมในอาเซียนที่จะต้องต่อสู้ขับเคลื่อนกันต่อไป
เพราะความเป็นเสรีนิยมนั้น ถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของชาวอาเซียนทุกคนที่จะร่วมกันแปลงสภาพประชาคมอาเซียนให้เป็นดินแดนแห่งความเป็นเสรี และการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเพื่อที่จะได้ทลายกำแพงที่กั้นขวางการไปมาหาสู่กันในอาเซียน รวมทั้งอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือต่างๆ ที่จะนำพาประชาคมอาเซียนให้พัฒนาและเจริญก้าวหน้าให้ทัดเทียมกับภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี