การที่อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ยังสามารถพักพิงในค่ายทหารไปได้โดยตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่นั้น อยู่ในความข้องจิตข้องใจ กินแหนงแคลงใจ ของชาวประชากันมานมนานว่า ท่านแม่ทัพนายกองเหล่านี้ ทำไมถึงมีสิทธิพิเศษ หรือเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือข้าราชการอื่นๆ ทั้งประเทศ?
ล่าสุด รัฐสภาก็ได้มีการตั้งคำถาม ในประเด็นการอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารหลังจากเกษียณอายุราชการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่? และเรื่องก็ถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่กี่วันมานี้ ศาลท่านก็ได้มีคำตัดสินว่า การที่อดีตแม่ทัพบก (และเป็นอดีตหัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร) อาศัยอยู่ในบ้านพักรับรองของกองทัพนั้นถูกต้องชอบธรรม เพราะกองทัพบกมีระเบียบให้กระทำเช่นนั้นได้
ศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับรองระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการจัดบ้านพักพร้อมกับการดูแลทุกข์สุขต่างๆ ให้แก่แม่ทัพน้อยใหญ่ได้ โดยมีอีกหนึ่งเหตุผลสนับสนุนก็คือ เพราะบรรดาแม่ทัพน้อยใหญ่นั้นต่างเคยทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ก็มิได้มีการแจกแจงว่า คุณประโยชน์นั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง (จะรวมเรื่องการร่วมและนำการปฏิวัติรัฐประหารล้มการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการทำการโดยพลการ ข้ามพระเนตรพระพักตร์ขององค์จอมทัพไทยด้วยหรือไม่? ก็มิอาจทราบได้)
สังคมก็เลยไม่พ้นที่จะมีข้อสงสัยกันต่อว่า ทำไมกฎหมาย กฎเกณฑ์ งบประมาณชาติ จึงมีข้อยกเว้นให้กับฝ่ายกองทัพโดยเฉพาะ และข้อยกเว้นนั้นถูกตราเป็นกฎหมายตั้งแต่เมื่อใด? อย่างไร? หรือนัยหนึ่งผ่านการสอดส่องดูแลของฝ่ายนิติบัญญัติกันไปได้อย่างไร?
เพราะเมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง บุคคลในสังกัดอื่นๆ หรือคนทั่วไป ย่อมรู้สึกได้ว่า กฎระเบียบราชการแบบนี้มีความลักหลั่น และเป็นการเลือกปฏิบัติ แถมประชาชนยังรู้สึกว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบภาษีของราษฎร รวมทั้งระบบ ระเบียบ การดูแลอดีตแม่ทัพน้อยใหญ่แบบนี้น่าจะเข้าข่ายเป็นระบบศักดินาอย่างหนึ่งด้วย
ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่มีความเห็นต่างทางข้อกฎหมายเลยในหมู่ผู้รักษากฎหมายทั้ง 9 คน สังคมจึงไม่มีโอกาสได้ฟัง ได้อ่านเหตุผล เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะในประเด็นปัญหา หลักการการเลือกปฏิบัติ นัยว่า เมื่อเป็นเรื่องที่ไม่ได้ถามมา ศาลก็ไม่พิจารณาไม่ตอบออกไป แม้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมก็ตาม
การที่ศาลรัฐธรรรมนูญ ตัดสินโดยยึดระเบียบกองทัพบกเป็นสรณะนั้น สะท้อนให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ สนใจข้อเขียนตามตัวอักษรเป็นหลัก โดยมิได้ไปคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายรวมถึง “การไม่เลือกปฏิบัติ” อันเป็นส่วนหนึ่งของหลักการประชาธิปไตย และหลักธรรมาภิบาล ซึ่งมีสถานะอยู่เหนือระเบียบกองทัพบก ที่อยู่บนพื้นฐานของการให้อภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษให้อดีตข้าราชการกองทัพเพียงไม่กี่คน
เรื่องนี้ หลังจากนี้คงต้องไปถกต่อกันอีกยาวที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ในเรื่องการทบทวนกฎหมายงบประมาณ กฎหมายข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และการบริหารราชการที่โปร่งใส เป็นธรรม ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาให้ช้านานไป หากบรรดาแม่ทัพนายกองมีจิตสำนึก ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิแห่งทหารหาญ และทำการพิจารณาตนเอง เอาหลักความเท่าเทียมของมนุษย์ และประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
หากเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ ทางกองทัพยังปรับปรุงตนเองไม่ได้ เรื่องการปฏิรูปกองทัพไทยก็จะค้างคากันไปอีกแสนนาน อย่าลืมว่า ที่คนเขาเริ่มเบื่อหน่ายทหารนายกองกัน ก็เพราะความเป็นศักดินาแบบนี้ มีลับลมคมใน ตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งในทางกลับกัน หากกองทัพโปร่งใส มีเหตุผลชี้แจงได้ ก็ไม่มีอะไรที่ชาวบ้านเขาจะไม่เชียร์ “รั้ว” ของชาติอย่างในอดีต
สำหรับที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างว่าบ้านพิษณุโลก เรือนรับรองอายุราชการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซ่อมไม่เสร็จเสียทีนั้นช่างดูเป็นเหตุผลที่อ่อนด้อยเหลือเกิน เพราะยุคสมัยนี้ เทคโนโลยีการก่อสร้างนั้นแสนจะก้าวหน้า ท่านก็เป็นผู้นำประเทศจะสั่งการเร่งไม่ได้เชียวหรือ ปล่อยให้คาราคาซังมาตลอดตั้ง 7 ปี ที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ไม่คิดเรียกผู้รับผิดชอบการซ่อมแซมมาพบหน่อยหรือ?
ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วง เพราะเป็นขวัญใจประชาชน มีแม่ยก พ่อยก อยู่ทั่วประเทศ ส่วนกองทหาร ตำรวจที่คอยอารักขา เขาก็เคยทำหน้าที่ให้นายกฯที่อยู่บ้านพักตนเองมาแล้วหลายต่อหลายท่าน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรรีบย้ายออกเสียแต่วันนี้ หาที่อยู่อาศัยให้เกิดความสง่างาม ยิ่งหากดูจากทรัพย์สินทั้งครอบครัวจันทร์โอชาที่ท่านเคยแจกแจงไว้ก็มีไม่น้อย การจะซื้อหาบ้านสักหลังเอาไว้ให้ครอบครัวอยู่อาศัยเองคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่ เพราะวันหนึ่งที่ท่านพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ท่านก็ต้องหาบ้านอยู่อาศัยเองอยู่ดี นอกจากท่านมองว่า ท่านจะอยู่ในอำนาจไปตลอดกาลเท่านั้นเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
ป.ล. กติกากองทัพที่ว่า บ้านพักรับรองของทางกองทัพนั้น จัดไว้ให้นายทหารผู้ใหญ่เข้าพักอาศัยได้ ผมพอเข้าใจได้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ คำว่า “บ้านพักรับรอง” มันน่าจะเป็นการให้เข้าพักในแบบชั่วครั้งชั่วคราว แบบสองสามวัน หรือหนึ่งอาทิตย์ ไม่ใช่อยู่กันยาวเป็นปีๆ เช่น ที่สิ่งที่นายกฯ กระทำอยู่ที่น่าจะตรงกับคำว่า “อยู่อาศัย” (ถาวร) ไม่ใช่คำว่า “พักอาศัย” (ชั่วคราว) ตามกติกากองทัพ ผู้ใดมีความเชี่ยวชาญทางภาษากฎหมาย ก็ขอเรียนเชิญช่วยแนะนำด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี