ใกล้จะครบ 1 ปีแล้วกับ “วิกฤติไวรัสโควิด-19” นับตั้งแต่การพบผู้ป่วยรายแรกในช่วงส่งท้ายปีเก่า 2562-ต้อนรับปีใหม่ 2563 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ประเทศจีน ก่อนจะลุกลามเป็นโรคระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคบนโลก ส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลหลายประเทศต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์จนกิจการจำนวนมากล้มละลายและผู้คนต้องตกงาน กระทั่งล่าสุดมนุษยชาติเริ่มมองเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” หลังบางประเทศเริ่มทยอยฉีด “วัคซีนป้องกันโควิด-19” ให้ประชาชนบ้างแล้ว
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นชาติเล็กๆ แต่ได้รับการยกย่องจากประชาคมโลกว่าสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม ก็เป็นอีกประเทศที่เริ่มพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่นกันด้วยความที่ไม่อาจคาดหวังการจัดหาจากต่างประเทศได้มากนักเพราะประเทศใดที่คิดค้นวัคซีนได้รัฐบาลย่อมต้องสำรองไว้สำหรับฉีดให้ประชาชนของตนเองก่อนเป็นธรรมดา ทั้งนี้ คาดการณ์กันว่า คนไทยน่าจะได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 สัญชาติไทย กันภายในปลายปี 2564
ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานแถลงข่าวโครงการ “วัคซีนเพื่อคนไทย” เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในอดีตไทยเป็นประเทศที่สามารถผลิตวัคซีนหลายอย่างได้เองตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น วัคซีนป้องกันวัณโรค, บาดทะยัก, คอตีบ และไอกรน แต่ต่อมากลับเลิกพัฒนาและหันไปสั่งซื้อจากต่างประเทศแทนเสียส่วนใหญ่
“สิ่งที่พวกเรากลัวที่สุดคือ ถ้าเกิดโรคอุบัติใหม่ระบาดเฉพาะในเมืองไทย ไม่ได้ระบาดทั่วโลกเหมือนโควิด-19 แล้วเราจะเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร คงไม่มีใครมาผลิตวัคซีนและยาให้กับเรา ฉะนั้นเราต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อต่อยอดจากการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปสู่การผลิตวัคซีนและยาอื่นๆในอนาคต” ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา กล่าว
ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา ซึ่งมีอีกบทบาทหนึ่งเป็นกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ใบยาโฟโตฟาร์ม จำกัด กล่าวต่อไปว่า“โครงการวัคซีนเพื่อคนไทย เป็นวัคซีนชนิดโปรตีนที่ผลิตจากใบพืช(ยาสูบ) ที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย” โดยนำส่วนหนึ่งของไวรัสมาเป็นต้นแบบ และนำมาผ่านกระบวนการส่งสารพันธุกรรมเข้าไปในพืช ทำให้พืชสร้างโปรตีนที่เป็นชิ้นส่วนของไวรัสได้ และสกัดนำโปรตีนนั้นออกมาเพื่อทำเป็นวัคซีนต่อไป ซึ่ง ใบยา ไฟโตฟาร์ม เป็นรายแรกในไทยที่สามารถผลิตวัคซีนนี้ได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
โดยผลการศึกษา พบว่าวัคซีนดังกล่าวสามารถเก็บไว้ได้นาน 1 เดือน ในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ซึ่งจะมีการเก็บเพื่อศึกษาความคงตัวและวัดผลต่อไป การใช้วัคซีนโควิดชนิดนี้ต้องฉีด 2 เข็ม โดยห่างกันเป็นระยะเวลา 21 วัน ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ขั้นตอนการวิจัยระยะที่ 1 และ 2 จะเริ่มประมาณกลางปีหน้า และสิ้นสุดการทดลองระยะที่ 3 ราวสิ้นปี 2564 และคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนลอตแรกให้คนไทยได้ใช้จริงเร็วสุดภายในปลายปี 2564
“ถ้าการทดลองประสบความสำเร็จ ก็คาดว่าจะผลิตวัคซีนได้ปีละประมาณ 1 ล้านโดส ส่วนราคาขายของวัคซีนจากใบยาสูบ จะอยู่ที่ประมาณโดสละ 500 บาท ซึ่งจะต้องฉีดคนละ 2 โดส และมีขนาดโดสละ 15-20 ไมโครกรัม ถ้าเราสามารถผลิตได้มากๆ ราคาวัคซีนก็จะถูกมากกว่านี้ แต่ของเราก็ถูกกว่าของไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา ที่มีราคาประมาณโดสละ 900-1,000 บาท” ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา ระบุ
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ขณะนี้ได้จองซื้อวัคซีนจาก บริษัท แอสตร้าเซเนก้า จำกัดไว้แล้วจำนวน 26 ล้านโดส สำหรับคนไทยกลุ่มแรก13 ล้านคน รวมถึงได้วางแผนจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่น อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
“กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนโครงการวัคซีนจากใบยาสูบ ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ วงเงิน 150 ล้านบาท แม้ว่าวัคซีนจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างไร แต่เราก็ได้ประสบการณ์ เทคโนโลยีแต่ผมเชื่อว่าเราจะไม่ล้มเหลว ซึ่งในอนาคตเราจะมีพื้นฐานองค์ความรู้เทคโนโลยีวัคซีนของเราเอง และจะต่อยอดไปสู่การผลิตวัคซีนและยาชนิดอื่นต่อไป”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
อีกด้านหนึ่ง ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชิญชวนคนไทยร่วม “ลงขัน”บริจาคเงินสนับสนุนทีมวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 สัญชาติไทย “ขอแค่ 1 ล้านคน ช่วยกันคนละ 500 บาท” เพื่อระดมทุนให้ได้ 500 ล้านบาทโดยเริ่มเปิดรับบริจาคตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.CUEnterprise.co.th
นี่จะเป็นอีกครั้งหนึ่ง..ที่คนไทยจะได้สมัครสมานสามัคคี นำพาประเทศชาติฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี