คดีให้สินบน ยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนกองปราบปราม
ส่วนคดีรับสินบน จำเลย 2 คน ติดคุก กระทั่งพ้นโทษออกจากเรือนจำมาเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้เอง
1. ฝ่ายตัวกลางเรียกรับเงินสินบน 20 ล้านบาทและปลอมแปลงเอกสารราชการ
สํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นผู้เสียหาย แจ้งความกองปราบฯดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองหรือผู้อื่นเป็นการตอบแทน ในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทําการ หรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด และร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
จำเลยทั้ง 2 คน รับสารภาพ พยานหลักฐานแน่นหนาเพียงพอ ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลางพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยทั้งสองคน
2. ฝ่ายผู้จ่ายเงิน 20 ล้านบาท ให้แก่จำเลยทั้งสองคน
คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 76/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อท 228/2562 อันถึงที่สุดแล้วนั้น ระบุชัดเจนว่า จำเลยทั้งสองได้รับเงิน 20 ล้านบาทไว้ โดย“...รับไว้สำหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้.... ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย โดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมายเพื่อจูงใจ....ให้กระทำการในหน้าที่ด้วยการจัดสรรที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ให้บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติของการขอเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ อันเป็นคุณแก่บริษัท เรียลแอสเสทดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และทำให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เสียประโยชน์ที่จะได้รับเงินจากการประมูลที่สูงที่สุด ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ผู้อื่นและประชาชน...”
คำพิพากษาระบุชัดว่า นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด เป็นผู้จ่ายเงิน 20 ล้านบาท โดยทยอยจ่ายงวดแรก 5 ล้านบาท, งวดที่สอง 5 ล้านบาท และงวดที่สามอีก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาท ให้แก่จำเลยทั้งสอง
3. ฝ่ายพนักงานสอบสวนคดี
ล่าสุด พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. เปิดเผยว่าในส่วนของคดีให้สินบนเจ้าพนักงาน ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องทุกรายอยู่ ยังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้ว่าจะนานแค่ไหน เพราะคดีต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ แต่ยืนยันว่าจะเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว ถ้าการสอบสวนพบว่าใครมีส่วนร่วมกระทำผิดก็จะดำเนินคดีทุกราย
“...พนักงานสอบสวนได้ส่งหมายเรียกไปให้กับนายประสิทธิ์ และนายสุรกิจ (จำเลยที่ติดคุกฐานรับสินบน และพ้นโทษออกมาแล้ว) ให้มาพบพนักงานสอบสวนในฐานะพยาน ล่าสุดมีการตอบรับหมายเรียกแล้ว แต่ยังไม่ได้ระบุว่าทั้งสองจะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนในวันไหน นอกจากนี้ยังได้เรียกเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำไปบ้างแล้ว ส่วนนายสกุลธรขณะนี้ยังไม่ได้ออกหมายเรียกมาให้ปากคำ แต่หากพบข้อมูลที่ต้องสอบถามจะเรียกมาพบพนักงานสอบสวน พร้อมยืนยันจะดำเนินการตามพยานหลักฐานที่ตรวจสอบพบ”
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ เคยยืนยันว่า บก.ป. แยกการดำเนินคดีออกเป็น 2 สำนวนตั้งแต่ต้น โดยแยกระหว่างผู้ให้สินบน กับตัวกลางเรียกรับสินบน เพื่อให้คดีมีน้ำหนัก และพยานหลักฐานที่ชัดเจน โดยส่งสำนวนที่มีความเห็นควรสั่งฟ้องกับผู้ต้องหา 2 ราย คือ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ และผู้ประสานงาน เรียกรับสินบนไปก่อน เพื่อจะได้นำข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นที่ยุติในชั้นการพิจารณาของศาล มาเป็นพยานหลักฐานอีกส่วนหนึ่ง ที่ผ่านมา บก.ป. ทำการสืบสวนคดีให้สินบนมาโดยตลอด ไม่ได้หยุดสอบสวน เนื่องจากต้องการให้คดีมีรายละเอียดรอบคอบมากที่สุด
4. ฝ่ายอัยการ – ทนายแผ่นดิน
นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดแถลงข่าวระบุว่า นายสกุลธรไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
โดยเปิดเผยกับสื่อมวลชนในระหว่างการแถลงข่าวว่า ในส่วนท้ายของรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบสวนได้ขมวดข้อเท็จจริงเอาไว้ว่า ในส่วนของนายสกุลธร ผู้ให้เงินแก่ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 โดยมีเจตนาให้นำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำความผิดต่อหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัดให้ได้สิทธิ์การเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์โดยไม่ผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาที่ 2 ไปกระทำความผิด นายสกุลธรจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ซึ่งพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายสกุลธรตามกฎหมายต่อไป
5. นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ (น้องชายของนายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า)
ได้ออก PRESS RELEASE ชี้แจง เนื้อหาโดยสรุปเป็นการปฏิเสธว่า ไม่ได้ใช้ให้ใครไปทำอะไรผิดกฎหมาย
อ้างว่า ไม่เคยรู้จักนายประสิทธิ์ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ แต่รู้จักนายหน้า คือ นายสุรกิจ ผ่านนายหน้าอีกคน ไม่มีความสนิทสนมส่วนตัว โดยนายหน้าเป็นฝ่ายเข้ามาเสนอที่ดินให้ มีสัญญาการจ้างนายหน้าชัดเจน ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าต้องทำตามกฎหมาย
อ้างว่า ฝ่ายตนทำแผนพัฒนาจนเป็นโครงการ Mix-Use พื้นที่ 160,000 ตารางเมตร สร้างโรงแรม ศูนย์การค้า สำนักงาน คอนโดมิเนียม ฯลฯ
อ้างว่า ตนเป็นฝ่ายถูกหลอก เป็นผู้เสียหาย โดยมีการทำเอกสารปลอมมาหลอกลวง “...การชำระเงินตามที่มีข่าวออกไป เป็นการชำระค่าจ้างในลักษณะของ real estate consultancy ตามคู่สัญญาการค้าที่มีการระบุในสัญญาตามมาตรฐานธุรกิจทั่วไป โดยแบ่งจ่ายเมื่อแผนงานมีความคืบหน้า ทุกครั้งมีการชำระเงินเป็นเช็คและได้มีการบันทึกใบรับเช็คตามมาตรฐานสัญญาธุรกิจทั่วไป ซึ่งไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบหลีกการตรวจสอบ...”
อย่างไรก็ตาม นายสกุลธรยังไม่ออกมาชี้แจงยืนยันด้วยตนเอง แม้แต่ใน PRESS RELEASE ก็ไม่มีการลงลายมือชื่อรับรองคำชี้แจงให้สามารถมีผลผูกมัดในทางกฎหมายใดๆ
6. ข้อพิรุธสงสัย
6.1 นายสกุลธรเป็นผู้บริหารบริษัทอสังหาฯ ใหญ่ ของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ จะไม่รู้เลย หรือไม่ตรวจสอบข้อมูลที่ดินจนรูปแน่ชัดว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ จะนำออกมาให้ยื่นข้อเสนอจริงหรือไม่? แต่กลับยินยอมว่าจ้างนายหน้า กระทั่งยอมจ่ายเงินเป็นงวดๆ ไปก่อนกว่า 20 ล้านบาท (จากมูลค่ารวม 500 ล้านบาท) มันสมเหตุสมผล หรือไม่?
6.2 ถ้าเงินที่ชำระตามข่าวเป็นค่านายหน้าตามสัญญาอย่างถูกกฎหมายจริง ไม่ใช่เงินใต้โต๊ะ หรือเงินสินบน ทำไมนายสกุลธรไม่แสดงเอกสารเป็นหลักฐานประกอบคำชี้แจง อาทิ
สัญญาว่าจ้างนายหน้าฉบับเต็ม ว่าลงนามกันเมื่อไหร่ อย่างไร ยืนยันว่าไม่มีการทำย้อนหลัง?
ต้นขั้วเช็คที่สั่งจ่ายเงิน? สเตทเม้นท์ ?
หลักฐานการลงบัญชีของบริษัทว่าเป็นรายจ่ายค่านายหน้า?
หลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย?
หลักฐานการนำเงินภาษีที่หักไว้ส่งสรรพากร? เป็นต้น
ประเด็นสำคัญ คือ ควรต้องมีหลักฐานที่ทำย้อนหลังไม่ได้มายืนยัน มิฉะนั้น ก็จะเหมือนคดีหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (พี่ชาย) ที่อ้างว่าโอนหุ้นไปแล้วแต่ไม่ได้แจ้งทางการ แถมเช็คค่าหุ้นไม่ได้เอาไปขึ้นเงินจนเรื่องแดง
6.3 ที่อ้างว่าถูกเอกสารปลอมหลอก
เอกสารปลอมฉบับแรก เมื่อเดือน มี.ค. 2560 ระบุว่า บริษัทเรียลแอสเสทฯ ผ่านคุณสมบัติในการตรวจสอบว่าจะเป็นผู้เช่าที่ดินเรียบร้อยแล้ว (จ่ายอีก 5 ล้านบาทหลังจากจ่ายไปแล้วก่อนนั้น 5 ล้านบาท)
หากเป็นค่านายหน้าปกติจริง เพียงแค่ขั้นตอนผ่านคุณสมบัติ ก็ยอมจ่ายรวม 10 ล้านบาทไปแล้วหรือ?
เอกสารปลอมฉบับที่สอง เมื่อเดือน พ.ย. 2560 ระบุว่าเชิญบริษัทเรียลแอสเสทฯ ไปประชุมในวันที่ 23 พ.ย. 2560 โดยนายสกุลธรชี้แจงเองว่า ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2560ซึ่งเท่ากับว่ามีเวลา 7 วัน หลังได้รับหนังสือ (จ่ายอีก 10 ล้านบาท)
นายสกุลธรอ้างว่า นายหน้าโทรมายกเลิกการประชุม 22 พ.ย. (ก่อนถึงวันนัด 1 วัน) ค่อยเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ และได้ทำหนังสือถามสำนักงานทรัพย์สินฯ เกี่ยวกับการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว
เท่ากับว่า ระยะเวลาราว 8 เดือน นายสกุลธรรวมถึงกรรมการบริษัท และอาจรวมถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท(ซึ่งเป็นคนในตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ อาทิ นางสมพรจึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นต้น) ไม่มีใครระแคะระคาย สงสัย แปลกใจ เอะใจ หรือตรวจเช็คข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากเอกสารปลอมฉบับนั้นฉบับเดียว อย่างนั้นหรือ?
อย่าลืมว่า โครงการที่อ้างว่าจะทำนั้น น่าจะมีมูลค่าสูงกว่าหมื่นล้านบาท!
หากมั่นใจว่าทำตามขั้นตอนปกติ ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบทุกประการ จะไม่ตรวจทาน ประสานงาน ขอข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากสำนักงานทรัพย์สินฯ บ้างสักนิดเลยหรือ?
จึงน่าสงสัยว่า เป็นเพราะไม่รู้ว่านายหน้าจะไปทำผิดกฎหมาย หรือรู้เห็นเป็นใจ? อันนี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้
6.4 ที่อ้างว่าถูกนายหน้าหลอก เมื่อทราบก็ส่งหนังสือทวงหนี้ไปแล้ว แต่ได้มีการดำเนินคดีฐานฉ้อโกงด้วยหรือไม่? ได้เรียกค่าเสียหายกลับคืนมาหรือไม่? เพราะอะไร? หากไม่ดำเนินการ จะสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะเงินเป็นจำนวนหลายล้านบาท และยังมีค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาสอีกจำนวนมาก
6.5 จากการติดตามคดีทุจริตประพฤติมิชอบ พบว่าหลายคดีที่ผ่านมา ฝ่ายผู้ต้องหาที่จ่ายสินบน มักจะอ้างว่าเงินสินบนนั้น เป็นค่าดำเนินการบ้าง ค่าที่ปรึกษาบ้าง ค่าสินค้าอื่นๆ บ้าง ฯลฯ
ยกตัวอย่าง
คดีสินบนข้ามชาติ ททท. ปรากฏว่า สามี-ภรรยาตระกูลกรีน ก็อ้างว่าจ่ายเงินค่าที่ปรึกษาผ่านทางลูกสาวอดีตผู้ว่าการ ทท. จำนวนกว่า 60 ล้านบาท แต่สุดท้าย ก็ไม่รอดฝ่ายผู้ให้ติดคุกสหรัฐ ฝ่ายผู้รับติดคุกอยู่เมืองไทยจนถึงขณะนี้
คดีทุจริตโครงการปลูกปาล์มอินโดฯ ปรากฏว่า เจ้าของที่ดินที่ขายสิทธิการปลูกปาล์มน้ำมันให้แก่ PTT.GE พบว่า มีนายหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนายหน้าจะได้ส่วนแบ่ง และค่าที่ปรึกษา จากการช่วยดำเนินการให้สามารถขายที่ดินในราคาแพงกว่าปกติ และสุดท้าย เส้นทางเงินค่านายหน้านั้นก็พัวพันกับคนไทยในประเทศ
คดีสินบนบ้านเอื้ออาทร ก็ปรากฏว่า มีการอ้างเงินสินบนที่จ่ายแก่เสี่ยเปี๋ยงและพวกว่าเป็นค่าที่ปรึกษาโครงการ แต่สุดท้าย ศาลก็ชี้ว่าเป็นเงินสินบน เพียงแต่เอกชนบางรายถูกกันไว้เป็นพยาน บางรายถูกบีบบังคับให้จ่าย จึงรอดตัวไป
ส่วนกรณี คดีผู้ให้สินบน 20 ล้านบาทนี้ ยังไม่ปรากฏว่าใครขู่เข็ญบีบบังคับ
และในกรณีนายสกุลธร PRESS RELEASE ยืนยันว่า สัญญาการจ้างระบุชัดเจนว่า ให้ทำอย่างถูกกฎหมาย ตามระเบียบและข้อบังคับ และเป็นไปตามมาตรฐานของวิชาชีพนายหน้า ฯลฯ ก็แน่นอนว่า ยังไม่ปรากฏในคดีไหนในโลก ที่จะมีการทำสัญญาลายลักษณ์อักษรระบุให้นายหน้าไปติดสินบน หรือจ่ายเงินใต้โต๊ะ เพื่อให้บริษัทของตนได้สิทธิเช่าที่ดินโดยไม่ต้องประมูลแข่งขันตามกฎหมาย
6.6 น่าสงสัยว่า หากเราไปจ่ายเงินให้นายหน้า เพื่อช่วยให้เราได้สิทธิเช่าที่ดินโดยไม่ต้องประมูลแข่งขันกับรายอื่นๆ จนถึงขนาดเรามั่นใจไปเตรียมโครงการมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทไว้แล้ว แต่สุดท้ายนายหน้ามันหลอกเรา เพราะผู้มีอำนาจเจ้าของที่ดินไม่เล่นด้วยกับวิธีการโกงแบบนี้เราจะไปโทษใครได้? เราจะเป็นผู้เสียหาย หรือเราจะเป็นผู้ต้องหาคดีจ่ายสินบนเจ้าพนักงาน?
สุดท้าย สังคมต้องช่วยจับตา ช่วยปลดแอกคดีสินบน มิให้เป็นมวยล้มต้มคนดูเหมือนคดีบอส
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี