: หลักคิด วิเคราะห์ ในการหาทางออก จากถ้ำประเทศไทย
l หลักการที่สำคัญ ที่ประเทศส่วนหนึ่ง สามารถหาทางออกฯ ได้
คือ การนำประเทศและประชาชนออกจาก “ระบบโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำ” ไปสู่สังคมที่มีระบบโครงสร้างของสังคมที่เป็นธรรม และพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพได้จริง
๑. สภาพและลักษณะเฉพาะของสังคมไทยที่เป็นจริง
ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทำเล ฐานที่ตั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ประชากร ลักษณะวัฒนธรรมประเพณี และสถาบันสำคัญ อันเป็นหลักของประเทศ การศึกษา อาชีพ รายได้รายจ่ายความหลากหลายของผู้คน ศาสนา ความเชื่อความสัมพันธ์ของผู้คน วิถีชีวิตของคนเมืองหลวง คนเมือง คนชนบทฯ
ที่สำคัญ คือ ศักยภาพ และดุลกำลัง ระดับของกลุ่มคน องค์กร สถาบัน ที่มีอำนาจในสังคมไทย และกลุ่มต่าง ๆที่หลากหลายของประชาชน ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีพลัง พึ่งตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาฯ การเข้าสู่อำนาจ การใช้อำนาจ การตรวจสอบอำนาจฯ ใช้ระบบใด เป็นอย่างไร?
๒. สภาพและลักษณะเฉพาะของโลก (ระบบโลกาภิวัฒน์) โดยเฉพาะที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสังคมไทย
การมองภาพรวมของโลก ที่ส่งผลสะเทือนต่อประเทศไทย โดยทฤษฎีที่หลากหลาย เช่น ทฤษฎีความอลวน Chaos theory เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป จะมีลักษณะที่ปั่นป่วน ไร้ระเบียบ (random/stochastic) และระบบที่มีระเบียบ (deterministic)
“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ “ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” (จาก “butterfly effect”)
สภาพสังคมไทยและโลก อยู่ในสภาพของการสับสนซับซ้อนปั่นป่วน ฯลฯ จากการเป็นขาลงในช่วงก่อนหน้านี้(ที่ทำอะไรก็ดูดี สำเร็จได้ผลไปหมด) แต่ในภาวะนี้ ทำอะไร กลับติดขัด
ภาวะทั้งของโลกและของประเทศไทย ไม่มีอะไรง่ายไปอีกแล้ว
เหตุจากการสะสมปัญหาวิกฤติทั้งระบบ (การเมือง เศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม กระบวนการยุติธรร มสิ่งแวดล้อม) โดยปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีการแก้ไข สะสม จนเป็นปัญหา เป็นวิกฤติใหญ่เรื้อรัง
ยังไม่มีผู้นำระดับรัฐบุรุษของโลกและของประเทศไทย มาเป็นผู้นำการแก้ไข
ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “ระบบเปลี่ยนคน เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนจากเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป”
๓. การพัฒนาประชาชน จาก ไม่มีคุณภาพ ไม่มีความอิสระ พึ่งตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาผู้มีอำนาจ
ไม่สามารถทำได้ อย่างเป็นระบบ และเป็นจริง ในระบบและโครงสร้าง ที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม มาเป็นพลเมืองที่เอาการเอางาน (ACTIVE CITIZEN) มีความเป็นอิสระ พึ่งตนเอง คิดเองทำเองได้ มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและชุมชน ได้อย่างแท้จริง
เกิดขึ้นได้ จากระบบและโครงสร้างที่เป็นธรรม ทั้งการเข้าสู่อำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ การตรวจสอบอำนาจรัฐและเป็นการก่อเกิดขึ้นอย่างมีจังหวะก้าวขั้นตอน ตามระบบโครงสร้างการเมือง ที่พัฒนาก้าวหน้าขึ้น ทีละขั้นตอน
ฉะนั้น การนำเสนอ ในการแก้วิกฤติของสังคม ในบางเรื่อง เช่น การศึกษาฯ
เป็นการนำเสนอโดดๆ แต่ไม่มีการตอบโจทย์ว่า “แล้วจะทำให้การศึกษาดีขึ้นได้จริง ต้องทำอย่างไร การแก้ที่การศึกษา ระบบและกระบวนการยุติธรรม รายได้ ฯลฯ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ในระบบการเมืองเดิม?
๔. การแสวงหาสัจจะ จากความเป็นจริง
ต้องเริ่มจาก
การวิเคราะห์ สภาพและลักษณะสังคมไทย ให้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคม ให้นำทางไปต่อ ในภาคส่วนอื่นๆ ที่สำคัญฯ
๕. การเปลี่ยนแปลงของสังคม มี ๓ ลักษณะ
(๑) วิวัฒนาการ (Evolution) เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้าทีละเล็กทีละน้อย
(๒) ปฏิวัติ คือ การเปลี่ยนแปลง ถึงรากถึงโคน โดยฉับพลับรวดเร็ว
(๓) ปฏิรูป คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จำแนกออกเป็นส่วนๆเรื่องๆ ไป มีขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็น
๖.การเปลี่ยนแปลงสังคมที่ได้ผลสำเร็จของประเทศต่างๆ
(๑) ประชาชนส่วนใหญ่ เป็นองค์ประกอบสำคัญ (มิใช่ตัวหลัก)ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จ
(๒) ผู้นำระดับบน ที่เป็นรัฐบุรุษ มีวิสัยทัศน์ กล้าหาญเสียสละฯเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงฯ
(๓) การเปลี่ยนแปลง จากสังคมที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม มาสู่สังคมที่เป็นธรรมเสมอภาคฯ ไม่สามารถใช้ “ระบบการเข้าสู่อำนาจรัฐฯ”ที่ไม่เป็นธรรม คือ ระบบฯที่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่เสมอภาคฯ เพราะ “ระบบเดิม หรือระบบการเลือกตั้งเสรี (ไม่สุจริตเที่ยงธรรม) คือ ระบบที่เหลื่อมล้ำ ที่มีกติกา ให้ “คนส่วนบน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย” ใช้ความได้เปรียบ ทั้งอำนาจ ทุน มวลชน ข้าราชการ สื่อฯ และระบบการเลือกตั้งนี้ฯ ไม่สามารถเอาผิด นักเลือกตั้ง พรรคการเมืองใหญ่ ที่ทำผิดกติกาได้
(๔) ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ต้องใช้อำนาจและกำลัง ที่มีศักยภาพและคุณภาพเหนือกว่า
มีแต่ต้องใช้ “อำนาจฯ ที่เป็นธรรม” กระทำต่อ “ผู้มีอำนาจอธรรม ที่มีอำนาจอยู่เดิม”
นั่นคือ ต้องใช้กฎเกณฑ์กติกาใหม่ หรือ รัฐธรรรมนูญใหม่ ที่ “ลดอำนาจของผู้มีอำนาจเดิม” และ “เพิ่มอำนาจของประชาชน” ให้มีสิทธิมีเสียง มีอำนาจเพิ่มขึ้น อย่างทั่วหน้ากัน
๗.การนำเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งนโยบาย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี จังหวะก้าว ขั้นตอน
ที่ถูกต้อง คือ
(๑) ในการเปลี่ยนผ่าน จะเริ่มจาก : ไม่มีสู่มี จากเล็กสู่ใหญ่ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด
(๒) ไม่มีการเปลี่ยนทันทีทันใด รวดเร็ว แต่ต้องค่อยๆ เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของสังคม
(๓) ความคิดของคนจำนวนหนึ่ง “ที่ใจร้อนด่วนเร็ว”มักนำเสนอว่า
-ต้องสำเร็จในพรุ่งนี้ ปีนี้ สมัยนี้
-รัฐบาลนี้ อยู่มาตั้งหลายปีแล้ว ยังปฏิรูปไม่สำเร็จฯ โดยไม่กลับไปดูว่า “รัฐบาลและนายกฯ ที่ผ่านมา” ปฏิรูปอะไรได้บ้าง ? : ไม่มี
(๔) การเปลี่ยนแปลง จะเริ่มจากการสะสมทางปริมาณ ไปสู่คุณภาพ แล้วจึงนำไปสู่ “จุดเปลี่ยนแปลง”การเปลี่ยนแปลง ในแต่ละขั้นตอน จาก ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ จนถึงจุดเปลี่ยนแปลงคุณภาพในแต่ละขั้นตอน จะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณ ไปถึงจุดหนึ่ง ที่จักก้าวไปสู่คุณภาพจากคุณภาพ ขั้นที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ จนไปถึง “จุดเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและระบบ
(๕) การใช้ “กฎเกณฑ์กติกา และรัฐธรรมนูญ” ก็จะมีการยกระดับให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมคือ “ระบบโครงสร้างของสังคม และคุณภาพของประชาชน”
มีปัญหาไม่น้อยของสังคมผู้นำ ใน “เรื่องของรัฐธรรมนูญ คืออะไร” รัฐธรรมนูญ มิใช่กฏกติกาสูงสุดของรัฐ ที่ต้องเน้นความเสมอภาคเท่าเทียม เป็นธรรม” แต่รัฐธรรมนูญ คือ กฎกติกาสูงสุดของรัฐที่เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของสังคมในสังคมที่เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม
หากใช้ “รัฐธรรมนูญ ที่ต้องเน้น หลักการ ความเสมอภาคเท่าเทียม” มันก็คือกติกาสูงสุด ที่ให้ “คนส่วนน้อยที่ได้เปรียบฯ อยู่ในฐานะที่เหนือกว่าประชาชน”
ที่ถูกต้องแล้ว รัฐธรรมนูญ ที่จักนำมาซึ่งผลประโยชน์ของประชาชน ส่วนใหญ่ จักต้อง มีกฎกติกา “กำจัดสิทธิ ของคนส่วนน้อยที่โกงกิน ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมแล้วเพิ่มสิทธิอำนาจของประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังอ่อนแอ เพื่อจะได้มีโอกาสมากขึ้น
สรุป รัฐธรรมนูญ ต้องมีกติกาสูงสุด ที่เอื้ออำนวยให้ ประชาชนส่วนใหญ่มีโอกาสมากขึ้นและลดอำนาจ หรือขจัด “คนไม่ดีที่ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม” ไม่ให้เอาเปรียบและก่อความวุ่นวายรัฐธรรมนูญจะให้สิทธิอย่างเท่าเทียมกันได้ ก็ต่อเมื่อ “ประชาชนมีความเสมอภาคอย่างแท้จริง”
๘.ดุลยอำนาจ และกำลังในสังคมไทย ที่เป็นทั้ง ตัวนำ ตัวเร่งตัวคัดค้าน และตัวถ่วงสถาบัน หน่วยงาน และผู้นำฯ ในสังคมไทยไม่มี “ใคร” มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่มี “อำนาจมากน้อย จำกัดอยู่ในขอบเขตของตน” อีกด้านหนึ่ง ทำให้ “ไม่มีผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีได้ฝ่ายเดียว” ไม่ว่า : สถาบันหลักฯรัฐบาล รัฐสภา ตุลาการ พรรคการเมือง นักการเมือง กองทัพ ตำรวจฯ ทุนใหญ่ ข้าราชการ มวลชน นักวิชาการ สื่อฯ และภาคประชาชน
๙.ภาคส่วนใด มีความเข้มแข็งที่สุด และภาคส่วนใด อ่อนแอที่สุด
ภาคส่วนที่เข้มแข็งที่สุด คือ “การจับกลุ่มร่วมมือกันด้วยผลประโยชน์ส่วนตน” คือ?ภาคส่วนที่อ่อนแอที่สุด คือ “ผู้ที่มักอ้าง อำนาจประชาชน”แต่ตัวเอง ไม่มีพลังอำนาจที่เป็นจริงและความเข้มแข็งของแต่ละภาคส่วนเป็นเรื่องสัมผัส ชั่วคราว ขึ้นกับสภาพเงื่อนไขฯ
๑๐.ประเทศไทย มีเรื่องราวที่ดี มากมาย ทั้งเรื่อง วัฒนธรรมประเพณี ธรรมชาติฯ และเรื่องของคนไทยซึ่งเป็นที่ชื่นชมของคนต่างชาติที่ได้มาสัมผัสกับความเป็นจริงด้วยตนเองแต่มีคนไทยบางกลุ่มบางพวกที่มักจะหยิบยกข้ออ่อน ของคนไทยและประเทศไทย มาตอกย้ำขณะเดียวกัน ก็ยกย่อง สรรเสริญ เรื่องราวของต่างประเทศ โดยไม่รู้ความจริงทั้งหมด
หากกล่าวโดยสรุปคร่าวๆ
ประเทศไทย มีศักยภาพที่หลากหลาย ทั้งด้าน “คน”การเงินการคลัง เศรษฐกิจ(ภาพรวม) ฯลฯ แต่ข้ออ่อนสุด ที่เป็นอุปสรรคขวางทางเดิน ทางออกของสังคมที่จักผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้คือ “ภาคการเมือง และระบบการสู่อำนาจรัฐ โดยการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี