หลังการเข้ามาควบคุมอำนาจบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่ปี 2557ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งหมดก็ถูกจำกัดบทบาทหน้าที่ให้ต้องดำเนินงานตามส่วนกลาง(มหาดไทย) เท่านั้น และหลายพื้นที่ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนบุคคล ซึ่งฝ่ายกุมอำนาจรัฐวางใจให้เข้ามาทำหน้าที่บริหารแทน จวบจนมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และผ่านการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาบริหารประเทศอีกครั้งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยกติกาที่วางเอาไว้ได้กำหนดให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่ 2”ต้องกำหนดวันสำหรับการเลือกตั้ง อปท. ที่ถูกแช่แข็งมาอย่างยาวนานกว่า 6-10 ปี (ตามแต่ละพื้นที่)
ดังนั้น การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563 จึงเป็นก้าวแรกของการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่การ
บริหารของท้องถิ่นอย่างแท้จริง หลังการรัฐประหารที่ผ่านมา ซึ่งจะตามมาด้วยการเลือกตั้งในระดับตำบล เทศบาล และกรุงเทพมหานคร ในลำดับต่อไป ทำให้ผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง “นายก อบจ.” ที่เกิดขึ้นในครั้งที่ผ่านมานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินสถานการณ์การเมืองไทยในระดับชาติ รวมไปถึงความนิยมในระดับพรรคการเมืองทั่วไป ว่าหลังการเลือกตั้งใหญ่และเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนได้ให้ค่าพวกเขาไปในทิศทางใดกันบ้าง
คงต้องมาเริ่มกันที่ “พรรคพลังประชารัฐ” สำหรับการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ แม้ว่าทางพรรคเองจะไม่แสดงตัวอย่างชัดเจนในการให้การสนับสนุนผู้สมัครในพื้นที่ต่างๆ แต่ก็เหมือนมีความเข้าใจกันเองของประชาชนในพื้นที่ เมื่อกลุ่มอิสระที่ลงชิงชัยมีเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับ “บิ๊กเนม” ในพรรค และระดับรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็น นายอัครา พรหมเผ่า กลุ่มฮักพะเยา ซึ่งเป็นน้องชายของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิทยา คุณปลื้ม กลุ่มเรารักชลบุรี พี่ชายของนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอนุสรณ์ นาคาศัย อดีตนายกอบจ. ชัยนาท น้องชายของนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวนันทิดาแก้วบัวสาย ตัวแทนของกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้าจากเครือข่ายของตระกูลอัศวเหม เป็นต้น
และแน่นอนว่า หลังการเลือกตั้ง นายก อบจ.ที่ผ่านมา เครือข่ายการเมืองท้องถิ่นที่มีความเชื่อมโยงกับพรรค พปชร. ก็ได้รับการตอบรับอย่างน่าชื่นใจกว่า 20 จังหวัด ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์จากรายชื่อ ว่าที่ นายก อบจ. แต่ละท่านในนาม พปชร. แล้ว ก็ต้องบอกว่า การเมืองแบบ “บ้านใหญ่” ยังทรงอิทธิพลในระดับพื้นที่อยู่ ด้วยความสัมพันธ์ในระดับตัวบุคคลกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งพึ่งพิงอาศัยกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน อีกทั้งงานบุญงานกุศลมากมายที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง รวมไปถึงผลงานในระดับจังหวัดที่สร้างเอาไว้เป็นสาธารณประโยชน์สำหรับคนพื้นที่ อาทิ สวนสาธารณะ สนามกีฬา ศาสนสถานต่างๆ ฯลฯ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง ผนวกรวมด้วยอำนาจจากส่วนกลางในการเอื้ออำนวยสำหรับการสร้างผลงานในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทั้งบัตรคนจน คนละครึ่ง เบี้ยคนชรา และสารพัดประชานิยมที่ขนกันมาตั้งแต่ต้นปียันใกล้เลือกตั้งอบจ.ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต้องถือว่า คุ้มค่าสำหรับการลงทุนและลงแรง
ถัดมาคือ “พรรคเพื่อไทย” ที่สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่สนามเลือกตั้ง นายก อบจ.ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่ง “นายทักษิณ ชินวัตร” ส่งจดหมายน้อย และคลิปทางไกล
จากดูไบ เพื่ออ้อนวอนให้คนเชียงใหม่มอบใจให้นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ที่อาสามาชิงชัยกับนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ แชมป์เก่า เจ้าของฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทย ซึ่งรอบนี้ลงสมัครในนามอิสระ โดยมีนายจตุพรพรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) ให้การสนับสนุน
ก็ต้องบอกว่า เหนื่อยแต่ก็ชนะสำหรับเพื่อไทย ความนิยมของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อคนเชียงใหม่ยังไม่เสื่อมคลายอย่างที่หลายคนคิด แต่ในภาพรวมสำหรับการส่งผู้สมัครชิงชัย นายก อบจ. ทั้ง 25 คน การได้รับเลือกเป็น นายก อบจ. 9 คน อาจเป็นความสำเร็จตามที่“นายประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทยออกมาแถลง แต่ถ้าวิเคราะห์ตามรายพื้นที่ เมื่อเทียบกับผลงานในอดีตที่มีความยึดโยงกับฐานเสียงของชุมชนตามชนบท ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญของพรรคเพื่อไทย รอบนี้ถือว่า น่าผิดหวัง และที่น่ากังวลมากขึ้นไปอีกก็คือผู้สมัครในเครือข่ายของเพื่อไทย ที่ลงแข่งในนามกลุ่มอิสระ กลับทำผลงานได้น่าประทับใจกว่า ซึ่งตรงนี้จะส่งผลสำคัญไปยังการเมืองระดับชาติ และน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” สำหรับทิศทางของพรรคใหม่ในอนาคต
สำหรับพรรคที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ส่งคนลงรับเลือกตั้งก็ตาม นั่นคือ “พรรคก้าวไกล” ร่างสองของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ปล่อยให้ทีมอวตารอย่าง “กลุ่มก้าวหน้า” ทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช เดินสายหาเสียงให้แก่ผู้สมัครทั้ง 42 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ท่ามกลางความขัดแย้งอันปรากฏในหลายพื้นที่ที่พวกเขาทั้งสามพร้อมคณะได้ไปเยี่ยมเยือน ภายใต้นโยบายคืนอำนาจให้ประชาชน ปล่อยจังหวัดบริหารจัดการตัวเอง สั่งสอนอำนาจรัฐรวมศูนย์ สลายความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาพื้นที่ เป็นต้น
ล่าสุด ประธานพรรคก้าวหน้า “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ได้ออกมาแสดงความยอมรับต่อการพ่ายแพ้และขอโทษผู้สนับสนุนทุกท่าน ก่อนจะอ้างเกี่ยวกับคะแนนในภาพรวมว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี การให้ความสนับสนุนจากประชาชนยังคงเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อเทียบกับอัตราส่วนของคะแนนจาก 42 จังหวัด ในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาในปี 2562 แถมยังสามารถส่งสมาชิกเข้าไปเป็น สมาชิก อบจ. ได้ถึง 55 คน ก่อนจะยอมรับว่า ข้อกล่าวหาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีส่วนที่ทำให้การตอบรับของประชาชนในการเลือกตั้ง อบจ. ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ แต่จะพยายามอธิบายให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น ซึ่งจากรูปแบบการหาเสียงของกลุ่มก้าวหน้านี้ ยังคงยึดตามกลยุทธ์ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ โดยใช้กระแสของการเปลี่ยนแปลงเป็นหลัก แบ่งการตัดสินใจของผู้ใช้สิทธิ์ออกเป็นฟากฝั่ง แน่นอนว่า เกมแบบนี้เสี่ยง เพราะเล่นกับอารมณ์ทางการเมืองเป็นสำคัญ ได้ก็ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนกับที่เกิดขึ้นในปี 2562 และถ้าพลาดก็อย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้
และสุดท้ายกับ “พรรคประชาธิปัตย์” รอบนี้ส่งในนามของพรรค 2 พื้นที่ คือ สงขลา และสตูล ชนะหนึ่ง แพ้หนึ่ง แต่ชัยชนะที่เกิดขึ้นที่สงขลานี้ มีค่ามากมายเหลือเกินสำหรับพรรคเก่าแก่ ถึงขนาดหัวหน้าพรรค“นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” ต้องรีบลงพื้นที่มาขึ้นรถแห่ไปทั่วเมืองเลยทีเดียว นั่นเพราะการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาในปี 2562 อย่างที่ทราบกันดีว่า หลายพื้นที่ของ ปชป. สมาชิกพรรคขัดแย้งกันจนทำให้ขาดความเป็นหนึ่งเดียว จนทำให้ทั้งภูมิใจไทย และพลังประชารัฐ เข้ามาแย่งเก้าอี้ไปได้ในหลายเขต ดังนั้น ในการชิงชัย นายกอบจ. ที่สงขลาครั้งนี้ เราจึงเห็น “นายนิพนธ์ บุญญามณี”และ “นายถาวร เสนเนียม” รวมไปถึงระดับบริหารของพรรคจับมือกันส่ง “นายไพเจน มากสุวรรณ์” ประชันกับ“พันเอกสุชาติ จันทรโชติกุล” ขุนพลคนสำคัญของ พปชร. หัวหน้ากลุ่มด้านขวาน ซึ่งนำทัพบุกยึด 13 ที่นั่งสภาผู้แทนราษฎรในสัดส่วนของภาคใต้ไปได้ก่อนหน้านี้
เชื่อว่า “สงขลาโมเดล” จะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของ ปชป. ในสนามการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งถ้ายึดตามรูปแบบนี้ การประสานภายในพรรคให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น หัวหน้าพรรค และผู้มีบารมีภายในพรรค รวมไปถึงท่านประธานสภาฯ “นายชวน หลีกภัย” น่าจะต้องร่วมกันทำงานหนักอีกครั้ง หลังจากมั่นใจแล้วว่า ฐานเสียงภาคใต้ยังคงให้การสนับสนุนอย่างอบอุ่น แค่อย่าให้คนกันเองทำให้วุ่นก็พอ
อรรฆพันธ์ อภิรักษ์พงศ์ (แทน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี