ผมคนหนึ่งที่เฝ้ารออย่างมีความหวังหลังจากที่ได้เห็นการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมที่ติดตั้งอยู่ชายทะเลในภาคใต้อย่างมากมายที่ อ.ระโนด จ.สงขลา อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จนตอนนี้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเป็นจุดจอดรถเพื่อนักท่องเที่ยว ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องจอดรถถ่ายรูปเช็คอินเป็นที่ระลึก พร้อมๆ กัน ก็ได้เห็นไฟฟ้าแสงสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ เกิดขึ้นมากมาย
ส่วนในกรุงเทพฯไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้สร้างรถไฟฟ้าสีโน่นนี่นั่นให้ คนกรุงเทพฯ คนสมุทรปราการ ไปจนถึงปทุมธานี ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานอย่างมากมายที่ไม่คิดว่าจะเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีนี้
รถยนต์ไฟฟ้าหรือจะเรียกว่ายานยนต์ไฟฟ้า คืออีกสิ่งหนึ่งที่ผมรอคอยที่จะเห็นคนไทยใช้รถไฟฟ้าเพราะคิดเอาเองว่า มันน่าจะประหยัดพลังงาน ประหยัดเงินที่เราต้องสั่งนำเข้าน้ำมันมาจากต่างประเทศปีละหลายแสนล้านบาท ผมก็คิดเองว่ารถยนต์ไฟฟ้าคงไม่ปล่อยมลพิษก๊าซพิษที่ออกมาจากท่อไอเสีย แน่นอน อากาศใน กทม. คงจะดีขึ้นมากมายฝุ่น PM2.5 ก็คงจะลดน้อยถอยลงจนไม่เรียกว่าเป็นปัญหาของคนกรุง ผมคิดเองอีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าคงไม่มีเสียงดังรบกวนคนที่อยู่อาศัยอยู่ริมถนนอย่างแน่นอน
ดร.แบม-สุทธิดา รวยอริยทรัพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิเรื่องยานยนต์ไฟฟ้าอีกคนหนึ่งของประเทศไทย ได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องอุปสรรคที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ายังออกมาใช้กันน้อยอยู่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือสนข.กระทรวงคมนาคม ได้เน้นทำการศึกษารถโดยสารไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง ได้พบอุปสรรคสำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ อุปสรรคที่ 1 ต้นทุนตัวรถโดยสารและชิ้นส่วนประกอบมีมูลค่าสูงกว่ารถยนต์โดยสารทั่วไป คือต้นทุนการผลิต ต้นทุนภาษีนำเข้า ภาษีเงินได้ ต้นทุนการประกอบการ ขาดแคลนบุคลากร ต้นทุนแบตเตอรี่สูงส่งผลไปถึงการตัดสินใจในการลงทุน
อุปสรรคที่ 2 เรื่อง โครงสร้างพื้นฐานคือ การก่อสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า หรือ EV.ChargingStation ซึ่งต้องเสี่ยงลงทุนสูงมาก
อุปสรรคที่ 3 ด้าน มาตรฐาน กฎหมายระเบียบของระบบราชการที่เกี่ยวข้องการนำรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งปัจจุบัน ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนน้อยมาก ทำให้การแก้ไขปรับปรุงเพื่อรองรับและจูงใจให้การลงทุนเป็นไปด้วยความล่าช้า แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอุปสรรคดังกล่าว ทางคณะที่ทำการศึกษาได้มีแนวทางในการแก้ปัญหาอุปสรรคให้ทั้งหมด
ที่ประชุมของราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (รยสท.) ซึ่งเป็นองค์กรหลักด้านยานยนต์ภาคเอกชน ครั้งล่าสุด นายสนธยา คุณปลื้ม
นายกสมาคม รยสท. มองว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากการป้องกันด้วยการรณรงค์ให้ใช้รถไฟฟ้าสามารถช่วยดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
จึงแจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงนโยบายที่จะให้สมาคมฯ มีบทบาทในการขับเคลื่อนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยได้บรรจุให้เป็นหน้าที่ของอุปนายก รยสท.ด้าน Mobility เพื่อสนับสนุนและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด เพราะราชยานยนต์สมาคมฯอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงต้องดูแลสังคมร่วมกับรัฐบาล
ในส่วนของเมืองพัทยาปัจจุบันมีรถขนส่งสาธารณะ800 คัน รถแท็กซี่ 1,000 คัน รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 8,000 คัน ล่าสุดได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับเมืองโอซากา หรือบันทึก MOU กับเมืองโอซากา กับค่ายรถยนต์โตโยต้า ที่จะทำให้พัทยาเป็นเมืองต้นแบบของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบของประเทศไทย
เป็นที่น่ายินดีที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.สุเมต สุวรรณพรหม วิศวกรจากสายงานยุทธศาสตร์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้แจ้งมาว่า นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการกฟภ. ได้ประชุมและแถลงเป็นนโยบาย กับพนักงานทั่วประเทศผ่านรายการ CEO Connect ว่า PEA จะสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเรื่องขับเคลื่อนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยภายในเดือนมี.ค.2564 PEA จะสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า บนถนนสายหลักจำนวน 65 แห่ง และภายในปี 2565 จะสร้างสถานีครอบคลุมทั่วประเทศจำนวน 260 แห่ง โดยไม่เน้นผลตอบแทนเชิงธุรกิจแต่อย่างใด พร้อมกับการประกาศจะเป็นองค์กรนำในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะปัจจุบันราคารถยนต์ไฟฟ้า...ค่อนข้างที่จะมีราคาถูกลงมากแล้ว
ข่าวดีเพิ่มเติม ก็คือในขณะนี้ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ก็ได้ทดลองซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้จำนวนมากในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ตรงกับที่ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ เสนอเอาไว้หลายครั้งว่า การเริ่มต้นใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องเริ่มต้นที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ แล้วประชาชนจะกล้าใช้แน่นอน แต่สิ่งที่จะจูงใจภาคประชาชนได้เป็นอย่างดี คือมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน ที่รัฐบาลใช้มาตรการลดภาษี เช่นเดียวกับโครงการ ช้อปฟรีมีคืน คืนให้ถึง 30% เลยทีเดียว
อย่าช้านะครับนายกฯลุงตู่ รีบผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า ให้ติดลมบนเหมือนโครงการคนละครึ่งโดยเร็ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี