วันนี้ผมอยากจะเล่าถึงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ หรือ ที่มีชื่อว่า สัปปายะสภาสถาน ซึ่งแปลว่า สถานที่ประกอบกรรมดี ผมจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว ว่ารัฐสภาแห่งนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยป้องกันการโกงได้ 2 ทาง ทางหนึ่งคือการป้องกันทางใจ และอีกทางคือการป้องกันทางกาย
การป้องกันการโกงทางใจนั้น ก็เนื่องด้วยสัปปายะสภาสถานถูกออกแบบภายใต้แนวคิดที่นำเอาคติและสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของไทยในอดีตผสมผสานไปกับเทคโนโลยีการก่อสร้าง ผ่านทางรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่บนพื้นฐานทางภาษาและฉันทลักษณ์ตามอย่างสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีตามคติไตรภูมิ ที่นอกจากจะแสดงเอกลักษณ์ทางจิตวิญญาณถึงความเป็นไทยยังมีความหมายเพื่อให้คนที่เข้ามาอยู่ในสภาสำนึกถึง “บาปบุญคุณโทษ” พลิกฟื้นจิตใจผู้คนให้ประกอบกรรมดี
ส่วนการป้องกันทางกาย หรือ ทางกายภาพมาจากการที่รัฐสภาแห่งนี้มีการออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมาก ภายนอกมีลานสนามหญ้าขนาดใหญ่ เรียกว่าลานประชาธิปไตยสำหรับให้ประชาชนสามารถรวมตัวจัดชุมนุมเรียกร้องสิทธิอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อยู่ใกล้ชิดติดกับสถานที่ประชุมและทำงานของสมาชิกรัฐสภาเลยทีเดียว ด้านใน ต่อมาในจุดสำคัญคือ ห้องประชุมใหญ่ มีการจัดพื้นที่ให้ประชาชนผู้สนใจติดตามการทำงานของผู้แทนฯ สามารถเข้ามานั่งฟังการประชุมได้จำนวนมาก นอกจากนี้ยังจัดให้มีพื้นที่โล่งเป็นสนามหญ้าหน้า สำหรับผู้ที่สนใจการเมืองสามารถจะมานั่งฟังการอภิปรายรอบนอกห้องประชุมสภาฯได้ และที่สำคัญคือ รัฐสภาใหม่นี้จะไม่มีรั้วที่กั้นระหว่างประชาชนกับผู้แทนฯ อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปอีกหนึ่งปีเต็ม อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน สัปปายะสภาสถานแห่งนี้ ถึงแม้จะมีการเปิดใช้งานบางส่วนแล้ว แต่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ใช้งานได้อย่างเต็มที่ เดิมสัญญาก่อสร้างนี้มีกำหนดให้แล้วเสร็จในเวลา 900 วัน คือต้องเสร็จใช้การได้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2558 แต่อาคารรัฐสภาในฝันนี้ก็ยังไม่สร้างไม่เสร็จ โดยมีการขอขยายเวลาสัญญามาเรื่อยๆ ถึง 4 ครั้ง รวมเวลาขยาย 1,864 วัน หรือประมาณ 5 ปีเศษ โดยผู้รับเหมาคือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่เคยต้องถูกปรับเลย
ที่สามารถขยายเวลากันได้แบบนี้ ก็เพราะในสัญญามีข้อความที่ทำให้การขอต่อเวลาสัญญาทำได้ง่าย 2 ข้อสำคัญ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่เคยมีไว้ให้ในสัญญาก่อสร้างของรัฐกับเอกชนมาก่อน อันได้แก่
ข้อหนึ่ง คือ สัญญาข้อ 24 ว่าด้วยการขยายเวลาปฏิบัติงานตามสัญญา ได้กำหนดไว้ในข้อที่ 24.2 ในสัญญาไว้ว่า: “...ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้แก่ผู้รับจ้างตามที่กำหนดไว้ หรือ ในกรณีที่ผู้รับจ้างรายอื่นๆ ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่หรือผลงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานของผู้รับจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ว่าจ้างจะพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปอันมีผลกระทบมาจากกรณีดังกล่าวเหล่านั้นให้ตาม ความเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ว่าจ้างจะไม่มีการชดเชยค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นให้แก่ผู้รับจ้าง...”
ข้อสอง คือ การกำหนดเงื่อนไขทั่วไปของการก่อสร้าง ข้อ 17 ว่าด้วยการต่ออายุสัญญา ในข้อ 17.1 ว่า “....การขอต่ออายุสัญญาเพราะไม่สามารถทำงานในพื้นที่ก่อสร้าง ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้รับจ้างตามกำหนดไว้ หรือในกรณีที่ผู้รับจ้างรายอื่นๆ ไม่สามารถส่งพื้นที่หรือผลงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานของผู้รับจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้ผู้ว่าจ้างจะพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปอันมีผลกระทบมาจากกรณีดังกล่าว อันมีผลกระทบมาจากกรณีดังกล่าว เหล่านั้นให้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ผู้ว่าจ้างจะไม่มีการชดเชยค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นให้แก่ผู้รับจ้าง...”
นอกจากนี้ยังมีข้อความที่กำหนดไว้อีกชัดเจนมากๆว่า จำนวนวันที่จะต่อเวลาให้นั้น “ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าจ้างให้ต่อเวลาได้ตาม “ความเหมาะสม” ซึ่งคำว่า “ความเหมาะสม” นี้มีขอบเขตกว้างขวางมาก ทำให้อำนาจการพิจารณาจำนวนวันที่จะขยายให้ผู้รับจ้างนั้นอยู่ในดุลพินิจของสำนักงานรัฐสภา ในฐานะเป็นผู้ว่าจ้าง ถือได้ว่าสัญญาฉบับนี้ได้ให้อำนาจดุลพินิจแก่ข้าราชการไว้อย่างเต็มที่จริงๆ
เรื่องการก่อสร้างรัฐสภาไม่เสร็จ แม้จะได้มีการขยายเวลาก่อสร้าง 4 ครั้งไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะไม่เสร็จอีกนี้สภาผู้แทนราษฎร มีความสนใจและห่วงใยมาก จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมกันให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ขึ้นมา เพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาความล่าช้าของการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รวมทั้งพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร
ในรายงานความยาว 1,095 หน้า ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ได้พิจารณาเสร็จแล้วนี้ มีข้อความที่สำคัญ อยู่ในหน้า 193 ในเรื่องความเห็นของกรรมาธิการในเรื่องของการขยายเวลาในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 และครั้งที่ 4 ว่ามีความเหมาะสม แต่มีความเห็นสำหรับการขยายเวลาในครั้งที่ 3 ไว้ว่า “...การขยายเวลาในครั้งที่ 3 เป็นเวลา 674 วันนั้น เห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการขยายเวลาเกินกว่าที่ควรเป็น (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ 3.3.3 )...”นอกจากนั้น ในรายงานของคณะกรรมาธิการฯนี้ ยังได้มีข้อแนะนำอื่นๆ ที่รัฐควรทำและไม่ควรทำในการบริหารสัญญาก่อสร้างขนาดใหญ่ในโอกาสต่อๆ ไปอีก
ส่วนที่ดีที่คณะกรรมาธิการฯ ชุดนี้ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่คือ การเปิดผลการประชุมให้เป็นข้อมูลสาธารณะ ใครจะมาศึกษาและวิจัยต่อก็สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้เลย ถ้าท่านผู้อ่านอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่นี้ สามารถเปิดอ่านข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ของรัฐสภาได้เลย โดยเปิดดูเอกสารระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2ครั้งที่ 3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ข้อ 4.1 “รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่” ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ยาว 1,095 หน้า หรือกดลิ้งค์ได้ตามนี้เลยครับ http://edoc.parliament.go.th/Meeting/MeetingViewer.aspx?id=631
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี