ปีเก่ากำลังจะจบลง ปีใหม่กำลังจะเริ่มต้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยเองปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายทางการเมืองมากที่สุดของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่นับได้ว่าต้องใช้ความอดทนอดกลั้นและเปลี่ยนยุทธวิธีหลายอย่างแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สำหรับทั่วโลกปีนี้อาจถือเป็นปีที่พิเศษสำหรับทุกประเทศรวมถึงไทยที่ต้องฝ่าวิกฤติโรคไปด้วยกัน ในการอยู่กับโควิดให้ได้จนเกิดคำว่า New-Normal ขึ้น และคาดว่าเราอาจจะต้องอยู่แบบนี้กันทั่วโลกไปจนถึงปลายปีหน้า เพราะล่าสุดตัวเลขเมื่อวานที่พบที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดเดียวนับร้อยคนจากการติดในประเทศทั้งที่ไม่ใช่สมุทรสาครอาจกำลังส่งสัญญาณบางอย่างในการกลับมาระบาดอีกครั้ง
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าปีนี้เป็นปีที่หนักของชาวโลกไปพร้อมๆ กัน รวมถึงประเทศไทยจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มมีการระบาดมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และค่อยๆ ลามไปสู่เอเชียและทั่วโลก โควิดถือว่าเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับแรกๆ จากนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งตอนต้นยังไม่มีใครรู้วิธีรับมือโควิดได้ จึงทำให้ทั้งประเทศจีน ไทย และหลายๆ ประเทศในเอเชีย เป็นประเทศแรกๆที่มีการรับเชื้อไวรัสและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้จะมีแนวทางที่เรียกว่าแนวทางอยู่กับโรคได้แล้ว แต่ก็มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกในปัจจุบันล่าสุดสูงถึงกว่า 82 ล้านคนแล้ว โดยอันดับ 1 คือประเทศสหรัฐมีผู้ติดเชื้อกว่า 20 ล้านคน อันดับ 2 ประเทศอินเดีย พบผู้ติดเชื้อ 10 ล้านคน และอันดับ 3ประเทศบราซิล ผู้ติดเชื้อ 7.5 ล้านคน อันดับ 5 6 7 8 9 และ 10 คือประเทศ รัสเซีย สหราชอาณาจักร ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมนี พบว่าส่วนใหญ่สิบอันดับแรกคือประเทศในทวีปอเมริกาและยุโรป และยังคงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทวีปเอเชียมีเพียงอินเดียประเทศเดียวที่ติดมากที่สุด
แม้ประเทศจีนที่คาดว่าจะเป็นจุดกำเนิดของการแพร่ระบาด กลับพบว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่8 หมื่นกว่ารายเท่านั้น ซึ่งเท่ากับตัวเลขระบาดในช่วงต้นก่อนจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แม้ในช่วงหลังมีการแพร่ระบาดเข้ามาบ้างจากอาหารทะเลแช่แข็งนำเข้ามาจากต่างประเทศแต่ทางรัฐบาลจีนก็สามารถควบคุมไว้ได้เช่นเดียวกับประเทศไทยในปัจจุบันที่กลับมาติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก ชาวต่างชาติที่เข้ามาในไทยในช่วงหลังนี้เอง ซึ่งช่วงนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างสูง และได้เริ่มมีมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้วหลายจังหวัด
วิกฤตการณ์โควิด ทำให้ทั่วโลกต้องปรับตัวที่จะอยู่กับโรคนี้ไปก่อนจะมีวัคซีน นั่นทำให้ประชาชนและหลายบริษัททั่วโลก ต้องปรับตัวปรับรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิต ในโลกใหม่ผ่านเทคโนโลยีซึ่งมีการนำมาใช้เต็มรูปแบบมากขึ้นในภาคธุรกิจ การ Work from Home การเรียนออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการจัดกิจกรรมบันเทิงออนไลน์ การค้าออนไลน์ที่ได้รับการผลักดันมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีแห่งการเริ่มต้น New Normal ของโลกก็ว่าได้
การเมืองระหว่างประเทศรอบปีที่ผ่านมา จากวิกฤติโควิดทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนต้องพักรบกันชั่วคราว เพราะบาดแผลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาจากโควิดทั่วโลกที่ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักธุรกิจหลายอย่างต้องหยุดไปเป็นการชั่วคราวแบบกึ่งถาวรตลอดหนึ่งปีอย่างภาคการท่องเที่ยวและการบิน และธุรกิจในประเทศแต่ละประเทศที่ได้รับผลกระทบเป็นวงรอบที่สองด้วยอย่าง ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจกลุ่มบริการทั้งหลาย ของเกือบทุกประเทศทั่วโลก แต่การเมืองก็ไม่หยุดนิ่งเสียทีเดียว ปี 2563 ยังเป็นปีที่มีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะโควิดหรือการบริหารงานที่ผ่านมา ทำให้ผลก็ออกมาที่ โจไบเดน เป็นฝ่ายชนะและกำลังจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ ซึ่งนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีป้ายแดง ที่หลายฝ่ายต่างพากันวิเคราะห์ว่าเขาจะดำเนินการ ก็คงจะส่งผลกระทบต่อเอเซียไม่น้อย โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งปีที่ผ่านมาก็เป็นปีแห่งการพลิกเกมทางการเมืองของจีน เนื่องจากในฮ่องกงที่ดูเหมือนว่าทิศทางของกลุ่มเยาวชนจะสามารถเดินหน้าไปได้ในตอนแรก แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับรัฐบาลจีน และกำลังโดนสวนทางกลับจากการดำเนินคดีต่างๆ และถือเป็นจุดจบของการชุมนุมของฮ่องกงเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้วิกฤติโควิด ยังทำให้นานาประเทศกำลังประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ จากการค้าและการบริการระหว่างประเทศที่ต้องหยุดชะงักลง นำมาสู่การออกมาตรการกระตุ้นและอัดฉีดเศรษฐกิจภายในของแต่ละประเทศ
สำหรับประเทศไทยเอง ที่ผ่านมารัฐบาลใช้มาตรการป้องกันทางสาธารณสุขที่เข้มข้นในช่วงต้น ควบคู่กับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินในช่วงขาดรายได้อย่างมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ซึ่งผลก็คือสามารถบรรเทาความยากลำบากของประชาชนได้พอสมควร และสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแพร่กระจายเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ จนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่จัดการกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุด และนำมาซึ่งมาตรการผ่อนคลายในระยะต่อมา ควบคู่ไปกับมาตรการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาตรการคนละครึ่ง ซึ่งได้รับผลตอบรับดีจากทั้งผู้ค้ารายย่อยและประชาชน อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่หนักของ ภาคการคลังและงบประมาณรัฐบาลของเกือบทุกประเทศในการแบกภาระเพื่อประคองเศรษฐกิจ
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในไทย อย่างการเลื่อนวันหยุดสงกรานต์ การยกเลิกกิจกรรมสงกรานต์ ถนนโล่งทุกสายในกทม.ในช่วงเคอร์ฟิวช่วงแรก หรือ ธุรกิจเดลิเวอรี่ที่เฟื่องฟูอย่างมากในช่วงโควิดระบาดที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 นั้นนอกจากการระบาดของโควิดแล้ว ก็ยังเป็นปีแห่งการชุมนุมประท้วงที่ดูเหมือนหลายกลุ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีอีกด้วย สาเหตุหลักๆ ก็เริ่มต้นจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ต่อมากลายเป็นเรื่องประเด็นความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งในช่วงแรกของการชุมนุมเป็นการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ และค่อยๆ ขยายไปยังต่างจังหวัด และกลับมาอีกทีหลังมาตรการไวรัสโควิดผ่อนคลาย ด้วยความพยายามชูประเด็น ความเป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่อยมาจนถึงประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบัน
ซึ่งเมื่อกลับมามองการเมืองในสภาก็ถือว่าเสียดายโอกาสที่นักการเมืองทั้งสองฝ่ายไม่ได้ใช้ เวทีสภาฯให้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาหรือหาทางออกทางการเมือง ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ไม่ได้มีประเด็นอะไรมากพอที่จะเขย่ารัฐบาลได้ รวมถึงการใช้สภาในการแก้รัฐธรรมนูญ โดยสภาก็เปิดช่องแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่นำเวทีนี้มาใช้ประโยชน์ในการหาทางออก
และในปีนี้เองยังถือได้ว่าเป็นปีแห่ง Fake News หรือปีแห่งการปล่อยข่าวปลอมตามสื่อโซเชียลกันอย่างดุเดือดและได้แพร่กระจายถึงประชาชนในวงกว้างด้วยการแชร์ซึ่งได้สร้างความสับสนต่อประชาชนจำนวนมาก อย่างเช่นในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิดเข้ามาใหม่ๆ ก็มีบุคคลปล่อยข่าวว่ารัฐจะใช้มาตรการเคอร์ฟิว 24 ชม. จนทำให้ประชาชนผู้หลงเชื่อต่างกักตุนสินค้าจนทำให้สินค้าจำเป็นขาดแคลนไปชั่วขณะ หรือในช่วงที่การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกก็มีข่าวปลอมว่าจะมีการทำรัฐประหารจากการที่โซเชียลแชร์ภาพเฮลิคอปเตอร์บินในกรุงเทพฯ ซึ่งภายหลัง ผบ.ทบ. ได้ออกมาชี้แจงเคลียร์ข้อสงสัย
คนรุ่นใหม่ กับโซเชียล ถูกมองว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมาก และถูกมองว่าส่งผลทางการเมืองอย่างมากเมื่อปีแล้ว จนทำให้ผลการเลือกตั้งไปสู่ทิศทางการเมืองใหม่ อย่างไรก็ตาม แนวทางการเมืองในโซเชียล
ปีนี้อาจแตกต่างไป ในปีนี้เองก็ถือเป็นปีแห่งสงครามโซเชียลเพราะเดิมโลกในโซเชียลเป็นโลกของคนรุ่นใหม่และฝ่ายที่มีแนวคิดต่างจากรัฐ แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีทั้งกลุ่มตรงข้ามรัฐบาล และกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหวบนโซเชียล จนทำให้หลายๆ ครั้งนำไปสู่การปะทะคารมกัน การขุดคุ้ยและแฉประวัติของฝ่ายตรงข้าม ยกตัวอย่างเช่น กรณีนักวิชาการที่โดนคดี ม.112 ? และหลบหนีไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นฝ่ายที่นำเอาข้อมูลต่างๆ มาวิพากษ์วิจารณ์สถาบันอยู่เสมอ แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมากลับเป็นฝ่ายโดนไล่ล่าเสียเองและพบการนำรูปของเขามาแฉบนโซเชียลมากขึ้น รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังและกระบวนการสร้างกระแสในโซเชียลกรณีอื่นๆ ด้วย
“ลาทีปีเก่า สวัสดีปีใหม่ 2564”
“ฟ้าดินกว้างใหญ่มีความประหลาดมากมายเหลือรำพันเรื่องประหลาด แม้ท่านจะมีอายุถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแปดปี ก็ไม่มีวันเห็นหมดสิ้น”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี